บทที่ 2
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเรื่อง
77 จังหวัด in Thailand ผู้จัดทำโครงการได้รวบรวมแนวคิดทฤษฎีและหลักการต่างๆจากเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
2.1 77 จังหวัด in Thailand
2.2 การผลิตสื่อวีดีทัศเพื่อการประชาสัมพันธ์
2.1 77 จังหวัด in Thailand
ประเทศไทย หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรไทย
เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนและมลายู
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา
ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย
ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว
มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย
ตั้งแต่หาดทราย ชายฝั่งทะเล หมู่เกาะ ที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง จนถึงยอดเขาสูงถึง
2,500 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จึงทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณเขตศูนย์สูตร
ป่าไม้จึงมีสภาพแบบป่าเขตร้อน ซึ่งจัดเป็นแหล่งพันธุกรรมที่หลากหลายที่สุด
และเป็นแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่ามหาศาลของโลก สังคมป่าเขตร้อนของไทยประกอบด้วยป่าดิบและป่าผลัดใบชนิดต่างๆ
เชื่อมต่อระหว่างป่าเขตร้อนชื้นอย่างแท้จริงของประเทศมาเลเซีย
และป่าดิบแล้งซึ่งปรากฏส่วนใหญ่ในประเทศไทย ลาว พม่า และเขมร
ทำให้ประเทศไทยมีพรรณไม้ที่มีค่าของสังคมป่าทั้ง 2 ประเภทเป็นจำนวนมาก เช่น
พรรณไม้ในวงศ์ไม้ยางที่มีอยู่มากกว่า 50 ชนิด
ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่ปรากฏเฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น
สำหรับสัตว์ป่านั้น แม้ในปัจจุบันนี้จำนวนจะลดน้อยลงไปมากแล้ว
แต่ผืนป่าอนุรักษ์ของไทยหลายแห่งก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุมอยู่ เช่น
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
และผืนป่าฮาลา-บาลาทางภาคใต้ เป็นต้น และจากความสมบูรณ์ของผืนป่า
ทำให้ประเทศไทยมีแหล่งน้ำที่อุดมไปด้วยพันธุ์สัตว์น้ำมากมาย มีแหล่งน้ำทางธรรมชาติ
ทั้งแม่น้ำและลำคลองอยู่มากมายแทบทุกภูมิภาค
อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น อ่างเก็บน้ำและเขื่อนอีกหลายแห่งด้วย
นอกจากนี้ ภายในพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 350,000
ตารางกิโลเมตรของท้องทะเลไทย ยังมีน้ำทะเลที่สวยใส สะอาด หาดทรายขาวละเอียด
มีทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม มีความหลากหลายทางชีวภาพ
รวมทั้งมีแนวปะการังขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ และงดงามโด่งดังติดอันดับโลก
มีจุดดำน้ำตื้นและจุดดำน้ำลึกที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง
ทั้งในฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งทะเลอ่าวไทย รวมทั้งมีเกาะใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก
ให้เดินทางท่องเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี โดยมีฤดูท่องเที่ยวผลัดกันฝั่งละ 6 เดือน
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภามีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 77 จังหวัด แบ่งเป็น 6 ภาคได้แก่ ภาคเหนือ 9 จังหวัด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน 20 จังหวัด ภาคกลาง 21 จังหวัด ภาคตะวันออก 7
จังหวัด ภาคตะวันตก 5 จังหวัด ภาคใต้ 14 จังหวัด
ภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง
จังหวัดลำพูน จังหวัดอุตรดิตถ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน
20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชัยภูมิ
จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดมหาสารคามจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำนาจเจริญ
ภาคกลาง มี 21 จังหวัด จังหวัดกำแพงเพชร
จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครนายก จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดนนทบุรี
จังหวัดปทุมธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์
จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร
จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดอ่างทอง
จังหวัดอุทัยธานี
ภาคตะวันออก 7 จังหวัด
จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดปราจีนบุรี
จังหวัดระยอง จังหวัดสระแก้ว
ภาคใต้ 14 จังหวัด
จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดปัตตานี จังหวัดพังงา จังหวัดพัทลุง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง
จังหวัดสตูล จังหวัดสงขลา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดยะลา
ภาคเหนือ
ภาคเหนือเป็นดินแดนที่ร่ำรวยด้วยภูมิประเทศงดงาม
รายล้อมด้วยขุนเขาสลับซับซ้อนอันอุดมไปด้วยผืนป่า งดงามด้วยประเพณีวัฒนธรรม
และอบอุ่นด้วยวิถีชีวิตเรียบง่ายเปี่ยมน้ำใจสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวในภาคเหนือ
เรารวบรวมข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวทุกจังหวัดมาไว้ที่นี่แล้ว
เพียงคุณคลิกที่ชื่อจังหวัดซึ่งอยู่ด้านล่างนี้
ก็จะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของจังหวัด จำนวนประชากร
ขนาดพื้นที่และอาณาเขต การเดินทาง ที่พัก สถานที่ที่น่าสนใจ อาหารและเครื่องดื่ม
กิจกรรมที่น่าสนใจ งานเทศกาลและประเพณีที่สำคัญ ทัวร์และแพ็กเกจทัวร์ ข้อเสนอพิเศษ
ช็อปปิ้ง อย่างครบครัน
จังหวัดเชียงใหม่
ถ้านึกถึงภาคเหนือจังหวัดที่ขึ้นชื่อในภาคเหนือก็คือ
จังหวัดเชียงใหม่ดินแดนแห่งความงดงามด้านประเพณีและวัฒนธรรม คำขวัญจังหวัดมีอยู่ว่า ดอยสุเทพเป็นศรี
ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงานตา นามล้ำค่านครพิงค์ เชียงใหม่ หรือชื่อเดิม “นพบุรีศรีนครพิงค์” ก่อตั้งเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรล้านนาเมื่อกว่า
700 ปีก่อน โดยพญาเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งราย
ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชและเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมืองเชียงใหม่จึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ
และกลายเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เชียงใหม่นับเป็นศูนย์กลางของจังหวัดในภาคเหนือ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว
ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
เนื่องจากความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งทางด้านธรรมชาติอันงดงาม
ด้านศิลปวัฒนธรรม และประเพณีของชาวเชียงใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์น่าประทับใจ
และความพรั่งพร้อมในเรื่องสถานที่พักและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ที่หลากหลาย
เป็นที่ดึงดูดคนมาท่องเที่ยวนับล้านคนในแต่ละปี
จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 12,566,911
ไร่
มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ และเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปมีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาและป่าละเมาะ
มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง มีภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือ
ดอยอินทนนท์ สูงประมาณ 2,565.3355 เมตร อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง
นอกจากนี้ยังมีดอยอื่นที่มีความสูงรองลงมาอีกหลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก สูง 2,285
เมตร ดอยหลวงเชียงดาว สูง 2,170
เมตร ดอยสุเทพ สูง 1,601
เมตร
จังหวัดเชียงใหม่มีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี
มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 25.4 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.8
องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20.1
องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,100-1,200
มิลลิเมตร
สภาพภูมิอากาศจังหวัดเชียงใหม่อยู่ภายใต้อิทธิพลมรสุม 2 ชนิด คือ
ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งภูมิอากาศออกได้เป็น 3 ฤดู
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่


วัดพระสิงห์วรมหาว เป็นวัดที่พญาผายู
ในราชวงศ์มังรายโปรดเกล้าฯให้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิของพญาคำฟู
พระราชบิดา
มีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งซึ่งจะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปรอบเมืองในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำ
นั่นคือ
พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
อีกทั้งวัดนี้ได้ประดิษฐานพระธาตุประจำปีนักษัตรมะโรงอีกด้วย


เวียงกุมกาม
เป็นเมืองโบราณที่เป็นเมืองหลวงเก่าของล้านนา ที่ถูกสร้างโดยพ่อขุนเม็งราย
แต่เนื่องจากเกิดน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้งในช่วงหน้าฝน
ทำให้เมืองทั่งเมืองต้องอยู่ใต้บาดาล ทำให้พ่อขุนเม็งรายตัดสินใจ
ย้านราชธานีไปสร้างเมืองใหม่ที่ตีนดอยสุเทพ พบซากโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดช้างค้ำ
วัดธาตุน้อย วัดอีค่าง
วัดปู่เปี้ย วัดธาตุขาว วัดพญาเม็งราย
วัดพระเจ้าองค์ดำ
วัดเจดีย์เหลี่ยม
วัดกู่ป้าต้อม เป็นต้น
ซึ่งพ่อขุนเม็งรายโปรดเกล้าฯให้สร้างเมืองนี้ขึ้น






วัดเจ็ดยอด หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร
ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2020 โดยพระเจ้าติโลกราช
กษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งราย สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ได้แก่ เจดีย์เจ็ดยอด
ลักษณะคล้ายกับมหาวิหารโพธิที่พุทธคยาในประเทศอินเดีย ซึ่งมีฐานเจดีย์ประดับปูนปั้นรูปเทวดา
ด้านนอกพระเจดีย์ก็เช่นกันประดับงานปูนปั้นรูปเทวดาทั้งนี่งขัดสมาธิและยืนทรงเครื่องที่มีลวดลายต่างกันไปดูงามน่าชม นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญในพุทธประวัติ 7
แห่ง ได้แก่ โพธิบัลลังก์ อนิมิตรเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ อชปาลนิโครธเจดีย์
ราชายตนเจดีย์ และ มุจจลินทเจดีย์ ปัจจุบันสถานที่สำคัญในพุทธประวัติเจ็ดแห่งเหลืออยู่ที่วัดเจ็ดยอดเพียงสามแห่ง
คือ อนิมิตเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ มุจจลินทเจดีย์ วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ
โปรดให้ประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพื่อชำระพระไตรปิฎก ใช้เวลานานถึง 1 ปี จึงสำเร็จ
นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก และเป็นครั้งแรกของไทย
และถือเป็นหลักปฏิบัติของพระสงฆ์ในล้านนา












วัดอุโมงค์ (อุโมงค์เถรจันทร์) สร้างขึ้นในมัยพญาเม็งรายมหาราช
ราว พ.ศ. 1839 เพื่อให้ฝ่ายอรัญวาสีจำพรรษา
ต่อมาพญากือนาทรงโปรดให้สร้างอุโมงค์ขึ้นเพื่อให้พญาเถรจันทร์ใช้เป็นที่วิปัสนาเจริญกรรมฐานสมาธิ
อุโมงค์นี้มีลักษณะเป็นกำแพง ภายในเป็นทางเดินหลายช่องทะลุผ่านถึงกันได้
ภายในอุโมงค์เคยมีภายจิตรกรรมฝาผนัง ส่วนใหญ่เป็นลายดอกบัว ดอกโบตั๋น และนกต่าง
ๆ


สวนสัตว์เชียงใหมเป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่
ที่รวบรวมสัตว์ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เช่น หมีแพนด้า
ทูตสันถวไมตรีเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน
หมีโคอาล่า ทูตสันถวไมตรีเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-ออสเตรเลีย สวนนกเพนกวินและวนนกฟริ้นช์ มีรถไฟฟ้ารางเดี๋ยวพร้อมระบบปรับอากาศ
นอกจากนั้นยังมีอวาเรียม2 ชั้น เพื่อการเรียนรู้ระบบนิเวสวิทยาทางน้ำ
ชั้นล่างมีอุโมงค์ใต้น้ำยาว 133 เมตร รวบพันธุ์ปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม
อีกทั้งยังมีโดมหิมะ











น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ
"ตาดฆ้องโยง" น้ำจะดิ่งจากผาด้านบนและตกสู่แอ่งน้ำเบื้อล่าง
ในช่วงที่มีน้ำมากละอองน้ำจะสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ซึ่งทำให้สะพานไม้ที่ทอดยาวไปตรงจุดหน้าผาเปียกและลื่น
ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการเดิน


พระมหาธาตุนภเมทนีดล
และพระมหาธาตุนภพลภูมิศิริ
เป็นพระมหาเจดีย์ที่ถูกสร้างโดยกองทัพอากาศและพสกนิกรชาวไทย
โดยพระมหาธาตุนภเมทนีดล
สร้างขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อ พ.ศ.2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5
รอบในปี 2535 รอบ ๆ บริเวณมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งยังมีสวนดอกไม้ และต้นไม้อยู่บริเวณโดยรอบ






สวนสนบ่อแก้ว อากาศที่นี่ชื้นและเย็นตลอดปี
มีจุดเด่นความงานที่ป่าสนที่ปลูกอย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้เป็นที่นิยมอีกแห่งหนึ่ง
เนื่องจากความงานของสนแล้วยังมีหมอกและเหมยลงในช่วงเช้า
ผู้คนนิยมมาตั้งแคมป์จำนวนมาก


ดอยแม่ตะมานดอยแม่ตะมาน
ตั้งอยู่ในหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว และ บางส่วนของตำบล
กึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ดอยแม่ตะมานเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้นจากภาพ ดอกพญา
เสือโคร่งซึ่งมีฉากหลังเป็นดอยเชียงดาว ดึงดูดใจ ให้นักเดินทางหลายต่อหลายคนเดินทางมาที่นี่
เพื่อมาทำความ รู้จักกับสถานที่สวยๆแห่งนี้มากขึ้น เมื่อมองจากยอด ดอยแม่ตะมาน
ฝั่งตรงข้ามกันจะเห็นดอยหลวงเชียงดาวที่ ยิ่งใหญ่
ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าเหมือนภาพวาดที่เหมือนมีใครมาปั้น แต่งไว้
เป็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาของ การชมดอกพญาเสือโครงในมุมทีไม่เหมือนใครสามารถมายืนอยู่
ในระดับความสูงที่ใกล้ เคียงกับดอยหลวง เชียงดาวที่มองเห็นไกลๆอยู่ตรงหน้า
ดอกซากุระหรือนางพญาเสือโคร่งจะผลิบานเต็มที่ช่วงปลายเดือนธันวาคม
ถึงกลางเดือนมกราคม


ดอยอ่างขาง อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงธันวาคม-มกราคม
เย็นมากจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณืกันหนาวให้พร้อม
บนดอยจะมีสถานีเกษตรที่เป็นแปลงเพาะปลุกพืชผัก และดอกไม้เมืองหนาวต่าง ๆ
นอกจากนั้นยัง มีหมู่บ้านชาวเขาที่ยังไม่ละทิ้งวัฒนธรรมดั่งเดิม


จุดชมวิวกิ่วลม อยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนจะถึงทางแยกซึ่งจะไปหมู่บ้าน
ปะหล่องนอแลทางหนึ่ง และหมูบ้านขอบด้งทางหนึ่ง
สามารถชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสวยงาม
มองเห็นทิวเขารอบด้าน หากฟ้าเปิดจะมองเห็นสถานีเกษตรด้วย


อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน
ยอดที่สูงที่สุดคือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยใหญ่น้อยมากมาย
ฤดูหนาวอากาศจะเย็น ลมแรง มีจุดชมวิวจากบนยอดเขา
สามรถชมพระอาิทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ ตอนเช้า ๆ จะมีทะเลหมอกเรียงรายกันปกคลุมทั่วบริเวณ
นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนและกลางเต็นท์นอน


บ่อสร้าง สันกำแพง
เป็นอำเภอหนึ่งของเชียงใหม่ที่มีชื่อเสียงด้านหัตถกรรม เชาน การทอผ้าไหม
ผ้าฝ้าย คุณภาพดี แต่ราคาย่อมเยาว์
นอกจากนี้ยังมีโรงงานทอผ้าที่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิธีการทอ
รวมทั้งการเลี้ยงตัวไหม นอกจากนี้ ยังมีีร้านขายเครื่องเงิน เครื่องไม้แกะสลัก
เครื่องเขิน เครื่องปั้นดินเผา และร่มชึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของสันกำแพง


บ่อน้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ
สถานที่ถูกประดับตกแต่งด้วยสวนดอกไม้ มีบริการห้องอาบน้ำแร่ ที่พัก
สถานที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร

การเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ประมาณ 750 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่ได้อย่างสะดวกในหลายวิธี
ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง รถไฟ และเครื่องบิน
โดยรถไฟเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
มีรถไฟออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงหลายขบวน ทุกวัน
สอบถามรายละเอียดได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 หรือ www.railway.co.th
โดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ
ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จากนั้นแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32
ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ถึงนครสวรรค์ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1
ผ่านกำแพงเพชร ตาก ลำปาง แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำพูน จนถึงเชียงใหม่
ระยะทางประมาณ 750 กิโลเมตร
โดยรถประจำทางมีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง
สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490
www.transport.co.th นครชัยแอร์ โทร. 0-2936-0009 www.nca.co.th ทันจิตต์ทัวร์ โทร. 0 2936 3210
นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ โทร. 0 2936 2207 สมบัติทัวร์ โทร. 0 936 2495-8 สหชาญทัวร์
โทร. 0 2936 2762 สยามเฟิสท์ทัวร์ โทร. 0 2954 3601-7 ฯลฯ
ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด
ได้เปิดให้บริการจองตั๋วรถโดยสารออนไลน์แล้ว ติดต่อได้ที่ www.thaiticketmajor.com
นครชัยแอร์ www.nca.co.th
นอกจากนี้ยังสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ไทยรูท
ดอทคอม www.thairoute.com
โดยเครื่องบินการบินไทยบริการเที่ยวบินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
ทุกวัน โทร. 0 2356 1111 หรือ www.thaiairways.com
สายการบินบางกอกแอร์เวย์สบริการเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โทร .0
2270 6699 หรือ www.bangkokair.com
สายการบินวันทูโกมีบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน โทร.
1126 หรือ www.fly12go.com
สายการบินนกแอร์บริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน โทร. 1318
หรือ www.nokair.com
สายการบินไทยแอร์เอเชียบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน
โทร. 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com
จังหวัดเชียงราย
เชียงราย
ดินแดนแห่งขุนเขา เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย คำขวัญจังหวัดมีอยู่ว่า “เหนือสุดยอดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา” เชียงรายเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยเชียงแสนของพญามังราย
ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงรายบนพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำกก
อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้บนดอยสูงที่สลับซับซ้อน
เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำและน้ำตกอันงดงามหลายแห่ง
และมีเทือกเขาผีปันน้ำที่เป็นพรมแดนกั้นประเทศสหภาพพม่าจนถึงด้านทิศเหนือ
อีกทั้งเป็นจุดแรกที่แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศไทย เป็นพรมแดนกั้นกลางระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน
ลาว
เชียงรายมีประชากรหลายเชื้อชาติ
ทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทยภูเขา และชาวจีนฮ่อที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่บนดอยสูง
แต่ละชนชาติจะมีประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์
เป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้เชียงรายได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาว
ไทยและชาวต่างประเทศ
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย









พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปดูสิ่งที่วิจิตรตระการตาอย่างวัดร่องขุ่นมาแล้ว
ก็ต้องอย่าพลาดที่จะไป พิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี อาคารสถาปัตยกรรมแห่งนี้เป็นแบบกาแล
ภายในเน้นจัดแสดงผลงานศิลปะลํ้าค่า จนถึงบรรดาหนังสัตว์ป่านานาชนิด เช่น หนังงู
หนังหมี หนังควายป่า หนังเสือ ฯลฯ


แม่สายเ ป็นจุดผ่านแดนที่มีตลาดสินค้าราคาถูกที่หลั่งไหลมาจากจีน
คุณสามารถข้ามชายแดนไทย - พม่า (ท่าขี้เหล็ก)
เพื่อไปซื้อของฝากหรือข้าวของใช้สอยกันได้ ที่มีให้เลือกมากมายตระการตา
โดยที่ด่านจะเปิดและปิดทำการในเวลาราชการ สถานที่ทำบัตรข้ามแดนอยู่ที่อำเภอแม่สาย
เสียค่าทำบัตรคนละ 30 บา


สามเหลี่ยมทองคำ
สามเหลี่ยมทองคำเป็นจุดที่สายนํ้าจากชายแดนไทย
พม่าและลาวไหลมาบรรจบกันพอดี ซึ่งอดีต
ที่นี่เคยเป็นแหล่งผลิตฝิ่นที่ใหญ่เลยทีเดียว
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยม มีวัดพระธาตุดอยปูเข้า
หรือจะนั่งเรือหางยาวที่มีไว้บริการนักท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งนํ้าโขงได้


หอนาฬิกาเชียงราย
กลางเมืองเชียงราย หอนาฬิกานี้มีความวิจิตรตระการตา
เป็นศิลปะแบบเดียวกับที่วัดร่องขุน ทุกคืนเวลา 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม และ 3 ทุ่ม จะมีการแสดงแสงสีเสียง
ที่หอนาฬิกาประกอบเพลงเชียงรายรำลึก ดังก้องถนนจนจะกลายเป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้ว




ไร่บุญรอดไร่บุญรอด หรือ
บุญรอดฟาร์ม จังหวัดเชียงราย (Boon Rawd Farm) สวยงามด้วยไร่ชากว้างใหญ่สุดสายตา
โอบล้อมด้วยภูเขากว้างใหญ่ และอากาศดีตลอดทั้งปี เที่ยวชมผลผลิตทางการเกษตร
ไม่ว่าจะเป็นพุทธรา มะเฟือง ไร่ชาอู่หลง และพืชผักผลไม้อีกหลากหลายชนิด
และยังมีพรรณไม้ดอกหน้าหนาวสวยงามมากมายที่รอให้คุณไปชื่นชมอีกด้วย
และอย่าลืมไปเดินเล่นชมทุ่งดอกปอเทืองที่จะบานสะพรั่งในช่วงธันวาคม
ปิดท้ายการชื่นชมธรรมชาติด้วยอาหารมื้อพิเศษที่ร้าน "ภูภิรมย์"
ที่อยู่ภายในไร่จ้า


ภูชี้ฟ้า สถานที่ห้ามพลาดสำหรับคนที่รักในธรรมชาติ
ภูชี้ฟ้ามีความสูงตั้งแต่ 1,200 - 1,800 เมตร ส่วนทำเลที่ชวนน่าหลงใหลที่สุดก็คือเนินที่ราบสูงบนยอดภู
ซึ่งบนนั้นจะถูกห้อมล้อมไปด้วยความสวยงามของทิวเขาสูงมากมาย
มีหุบเขาเขียวขจีขนาดใหญ่เป็นตัวกั้นอาณาเขตของไทยกับลาวเอาไว้
ในยามเช้าที่นี่ถือเป็นจุดชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยแห่งหนึ่งเลยทีเดียว


ดอยผาตั้ง ณ จุดยอดเนิน 103 บนดอยผาตั้งที่ความสูง 1,653 ม.
คุณจะได้เห็นภูมิประเทศที่งดงามของลาวแบบ 360 องศา
เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปกางเต็นท์ค้างคืนเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น
ท่ามกลางหมอกหนาลัดเลาะท่วมท้นไปตามแม่น้ำโขงที่คดเคี้ยวเข้าไปในหุบเขาฝั่งลาว
ดอกพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง และอากาศหนาวระดับเลขตัวเดียว
จึงกลายเป็นจุดกางเต็นท์และชมวิวที่ได้รับความนิยมของหมู่นักท่องเที่ยวแนววธรรมชาติเสมอมา


การเดินทางมายังจังหวัดเชียงราย
จังหวัดเชียงรายอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ประมาณ 785 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดเชียงรายได้อย่างสะดวก คือ
ทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และเครื่องบิน
โดยรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพง
มีรถไฟไปลงที่จังหวัดลำปางหรือเชียงใหม่ แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์
ไปจังหวัดเชียงราย สอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง โทร. 1690, 0 2220
4444 www.railway.co.th
โดยรถยนต์สามารถเดินทางเป็นวงรอบได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข
11 จากอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
ผ่านตากฟ้า-วังทอง-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-แพร่-ร้องกวาง แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข
103 ไปอำเภองาวแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านพะเยาไปจังหวัดเชียงราย ระยะทาง 785 กิโลเมตร
ขากลับใช้เส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่
ผ่านอำเภอแม่สรวย-เวียงป่าเป้า-แม่ขะจาน-ดอยสะเก็ด
ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นป่าเขาสวยงาม เมื่อเดินทางมาถึงเชียงใหม่แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข
11 ผ่านลำพูน ลำปาง บรรจบกับทางหลวงหมายเลข 1 เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯได้
โดยรถประจำทางมีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ
ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 ไปเชียงรายทุกวัน บริษัท ขนส่ง
จำกัด โทร. 1490 www.transport.co.th สาขาเชียงราย โทร. 0
5371 1369, 0 5375 4097 บริษัทเอกชน ได้แก่ สมบัติทัวร์ โทร. 0
2936 2495-9, 0 5371 4971, 0 5371 5884 www.sombattour.com สยามเฟิร์ททัวร์
โทร. 0 2936 2953, 0 5371 9064, 0 5371 4386 โชครุ่งทวีทัวร์
โทร. 0 2936 4276, 0 5371 4045 และรถเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงของ
ออกเวลา 07.00, 16.40, 18.30, 20.00 น. และเชียงของ-กรุงเทพฯ
ออกเวลา 07.00, 09.00, 09.30, 16.30 น. ใช้เวลา 13 ชั่วโมงบริษัท ขนส่ง จำกัด (สาขาเชียงของ) โทร. 08 1883 2817นอกจากนี้ จากสถานีขนส่งฯ มีรถโดยสารไปยังอำเภออื่น ๆ
ในจังหวัดเชียงรายทุกวัน เช่นเดียวกับการเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ
มีรถโดยสารไปเชียงใหม่ พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง แม่สอด อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พัทยา
ระยอง นครราชสีมา สกลนคร นครพนม เลย อุดรธานี และขอนแก่น ติดต่อสถานีขนส่งเชียงราย
โทร. 0 5371 1224
โดยเครื่องบินมีเที่ยวบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงรายทุกวัน
สอบถามรายละเอียดได้ที่-แอร์ เอเชีย โทร. 0 2515 9999, 0 5379 8275-6
www.airasia.com
-โอเรียนท์ไทย แอร์ไลน์ โทร. 1126,
0 2229 4260, 0 5379 3555 www.fly12go.com
-การบินไทย โทร. 0 2356
1111, 0 5371 1179, 0 5379 8202-3 www.thaiairways.co.th
หมายเหตุ SGA บินเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย โทร. 0 2664 6099, 0 5379 8244
www.sga.co.th
นกแอร์โทร. 1318, 0 2900
9955
ท่าอากาศยานเชียงราย โทร. 0 5379 8000, 0
5379 8170
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
คำจวัญจังหวัด “หมอกสามฤดู
กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี ผู้คนดีประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง” แม่ฮ่องสอนตั้งอยู่ทางตอนบนของภาคเหนือ
เป็นหนึ่งในหลายจังหวัดชายแดนด้านตะวันตกของไทย มีความโดดเด่นในหลายลักษณะ
ทั้งสภาพภูมิประเทศและความหลากหลายของประชากร จากหลายกลุ่มชาติพันธุ์
เป็นจังหวัดที่มีประชากรเบาบางที่สุดในประเทศ โดยมีประชากรน้อยมากเป็นอันดับ 3 ในขณะที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศแม่ฮ่องสอนได้ชื่อว่าเป็น
“เมืองสามหมอก” เนื่องจากเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน
อากาศเย็นและมีหมอกปกคลุมตลอดทั้ง 3 ฤดูของปี
มีป่าไม้หนาแน่น ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์สวยงาม มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม
และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย
นับเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่งของภูมิภาคและของประเทศสมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
เมืองแม่ฮ่องสอนเดิมเป็นชุมชนบ้านป่า ไม่มีผู้ใดปกครอง
มีชาวไทยใหญ่บางส่วนจากชายแดนประเทศสหภาพพม่าที่อพยพเข้ามาทำมาหากิน
ทำไร่ทำสวนเป็นบางฤดูกาล ความสำคัญของเมืองนี้ในสมัยนั้น
เป็นเพียงทางผ่านของกองทัพพม่า
ที่เดินทัพไปยังกรุงศรีอยุธยาหรือหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยในปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้รวมเมืองแม่ฮ่องสอน
เมืองขุนยวม เมืองยวม (แม่สะเรียง) และเมืองปาย ตั้งเป็นเขตปกครองที่เรียกว่า “บริเวณเชียงใหม่ตะวันตก” ตั้งที่ว่าการอยู่ที่เมืองขุนยวม
แล้วย้ายไปตั้งที่เมืองยวมในปี พ.ศ. 2446 ต่อมาในปี พ.ศ.
2453 ก็เปลี่ยนชื่อเขตอีกครั้งเป็น “บริเวณพายัพเหนือ” แล้วย้ายที่ว่าการไปตั้งที่เมืองแม่ฮ่องสอน
และขึ้นตรงต่อข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพจนกระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็น
“จังหวัดแม่ฮ่องสอน” จนถึงปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยว
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
อำเภอปาย
ถือว่าเป็นอำเภอที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว ในอดีต
เมืองปายมักรู้จักเฉพาะกันเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งต่อมา
ก็เป็นที่นิยมท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย และเมืองปายถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ
ของเมืองไทยนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในเมืองปาย มักจะไม่พลาดเที่ยวชม ถนนคนเดินปาย
ซึ่งจัดขึ้นในถนน ชัยสงคราม บริเวณท่ารถปาย ทั้งถนนจะปิดการจราจร
ให้นักท่องเที่ยวเดินเลือกซื้อสินค้า ทั้งจากสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นของชาวเขา
ตลอดจนสินค้าอื่นๆ ทั่วไป โดยเฉพาะของฝาก ของที่ระลึก เสื้อผ้า รูปภาพ โปสการ์ด
ตลอดจนร้านอาหาร ที่พัก แหล่งบันเทิงต่างๆ จะมีอยู่เรียงรายในถนนเส้นนี้









หมู่บ้านสันติชล
ตั้งอยู่ในตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
อยู่ห่างจากตัวอำเภอปาย 4.5 ก.ม.
เป็นชุมชนท่องเที่ยวที่นำเสนอเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ของชาวจีนยูนนานอันเป็นรากฐานของ
ชุมชนมาเป็นจุดดึงดูด นักท่องเที่ยว และยังใช้กิจกรรมท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือของการพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน
ทั้งด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมจีนยูนนาน การพัฒนาอาชีพ
ที่ส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน








พระตำหนักปางตอง หรือ “ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ” ตั้งอยู่ในเขตตำบลหมอกจำแป่ เมืองแม่ฮ่องสอน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยเป็นศูนย์บริการและพัฒนาแห่งที่สองของโครงการพัฒนาตาม พระราชดำริ
จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ทั้งหมด 5,353 ไร่
ดยใช้เป็นสถานที่สำหรับการทดลองค้นคว้าวิจัย และ สาธิตชาวไทยภูเขาในพื้นที่สูง
ได้แก่ บ้านปางตอง (ไทยใหญ่,กะเหรี่ยง)
บ้านนาป่าแปก (ม้ง,ไทยใหญ่)
บ้านห้วยมะเขือส้ม การเพาะปลูกพืช
การเลี้ยงสัตว์เมืองหนาวเพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎร (ม้ง,ไทยไหญ่) และ บ้านรวมไทย (ไทยใหญ่)
ที่ส่วนมากมีอาณาเขตติดขอบชายแดนพม่า




ภาคกลาง
กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
จึงเป็นศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม รวมทั้งระบบการขนส่งที่ดี เหตุผลหลักที่เหล่านักท่องเที่ยวต่างพากันเลือกกรุงเทพฯ
เป็นสถานที่แรกก็คือ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเหตุผลอีกประการ
ที่ถือเป็นเสน่ห์ของเมืองไทยก็คือ ความเป็นกันเองของคนไทยรวมถึงวัฒนธรรมอันดีงาม
คนไทยเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ทังนี้เพราะได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว ทำให้คนไทยต่างนับถือกันและกัน
อยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง
และนี่ก็ทำให้นักท่องรู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัยเหมือนกันการได้อยู่ท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหาย
"
กรุงเทพฯ
ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย
" กรุงเทพฯ หรือ บางกอก เมืองหลวงของประเทศไทย
เริ่มก่อตั้งภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์
เมื่อวันเสาร์ ที่ 6เมษายน เดือน 5 แรม 9 ค่ำ ปีขาล พ.ศ.
2325 พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังทางคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันออก
เนื่องจากเป็นชัยภูมิที่ดีกว่ากรุงธนบุรีเพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวคูเมืองทางด้านตะวันตก
และด้านใต้อาณาเขตของกรุงเทพฯ
ในขั้นแรกถือเอาแนวคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี คือ แนวคลองหลอด ตั้งแต่ปากคลองตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า
เป็นบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ มีพื้นที่ประมาณ 1.8 ตารางกิโลเมตรบริเวณที่สร้างพระราชวังนั้นเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐี
และชาวจีน ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวังโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมการก่อสร้าง
ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที (21 เมษายน 2325) พระราชวังแล้วเสร็จ
เมื่อพ.ศ. 2328 จึงได้จัดให้มีพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบแผน
รวมทั้งงานฉลองพระนคร โดยพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ
นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยน
คำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” และในสมัยจอมพลถนอม
กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีได้รวมจังหวัด ธนบุรีเข้าไว้ด้วยกันกับกรุงเทพฯ
แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “กรุงเทพมหานคร” เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515
กรุงเทพฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายและหลากหลายประเภท
เป็นเมืองแห่งสีสันทั้งในยามค่ำคืนและยามกลางวัน
เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความรู้รอบตัว
ท่องเที่ยวได้ไม่จำกัดเวลาและไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณมากแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีอยู่เป็นจำนวนมากมากของกรุงเทพฯ
คือแหล่งท่องเที่ยวประเภทพระราชวังและวัด ที่น่าสนใจ ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท วัดพระศรีรัตนมหาศาสดาราม
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรวิหาร
เป็นต้นสำหรับแหล่งท่องเที่ยวประเภทพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ อนุสาวรีย์ และโบราณสถานที่น่าสนใจ
ก็มีมากมาย เช่น หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นต้นส่วนสถานที่ท่องเที่ยวประเภทสวนสัตว์ สวนสนุก
และการแสดง ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่น่าสนใจ ได้แก่ สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดซาฟารีเวิลด์
สวนสยาม โรงละครสยามนิรมิต เป็นต้นแม้ดูผิวเผิน กรุงเทพฯ
จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคอนกรีตและตึกสูง แต่กรุงเทพฯ
ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวประเภทสวนสาธารณะและสวนสุขภาพอันร่มรื่น
ที่เป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและเป็นสถานออกกำลังกายอยู่หลายแห่งทั่วเมืองและที่ขาดไม่ได้สำหรับการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ
คือแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ได้แก่ ย่านเยาวราช ตลาดนัดจตุจักร สวนลุมไนต์บาซาร์
ย่านสยามสแควร์ ย่านประตูน้ำ ย่านสีลม ย่านสุขุมวิท ถนนข้าวสาร ตลาดน้ำตลิ่งชัน
รวมถึงตลาดนัดและห้างสรรพสินค้าต่างๆนอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีก
เช่น ชายทะเลบางขุนเทียน สนามมวยเวทีราชดำเนิน หอสมุดแห่งชาติ สะพานพระราม 8 เป็นต้น
สถานที่ท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)วัดพระแก้ว
ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2325
เมื่อรัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ย้ายราชธานีจากธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
หรือพระแก้ว” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้สร้างขึ้นในพระอุโบสถ
ระเบียงพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลกใครสนใจไปเที่ยวที่ไหน
สะดวกที่ไหน ก็เชิญเที่ยวได้ตามสบายเลยครับ
สำหรับในช่วงปิดเทอมหรือมีเวลาว่างจากการทำงาน


วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)“วัดโพธิ์” หรือนามทางราชการว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก
และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
“วัดโพธาราม” วัดเก่า ที่เมืองบางกอก
ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน
พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุ
พระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย โดยพระอารามหลวงแห่งนี้มีเนื้อที่ 50 ไร่ 38
ตารางวาอยู่ ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง
ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพน
ขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาวแบ่งเขตพุทธาวาส และสังฆาวาสชัดเจน

พระบรมมหาราชวัง มีพื้นที่ 218,400 ตารางเมตร
ประกอบด้วยวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พระที่นั่งองค์แรกภายในพระบรมมหาราชวังโดยถ่ายแบบมาจากพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทในสมัยอยุธยา
มีลักษณะเป็นปราสาทจัตุรมุข ยอดทรงมณฑปซ้อนเจ็ดชั้นประดับกระจก
หลังคาคาดด้วยดีบุกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2418 เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างไทยและยุโรปเป็นปราสาทรียงกันสามชั้น
สามองค์ เชื่อมต่อด้วยมุขกระสันโดยตลอด หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี
มียอดปราสาทสามยอดนอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และพระที่นั่งบรมพิมาน


วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ตามชื่อตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด
ภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดมะกอกนอก” เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกันแต่
อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อ “วัดมะกอกใน” ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๐
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ
กรุงธนบุรีจึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี
จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น “วัดแจ้ง” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัด นี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง
ณ กรุงธนบุรีและได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่ มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้งตั้งอยู่กลาง
พระราชวังจึงไม่โปรดให้มีพระสงฆ์จำพรรษา นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่กรุงธนบุรีเป็น
ราชธานี ถือกันว่าวัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้าน คู่เมือง เนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐาน
พระแก้วมรกตและพระบาง ซึ่งสมเด็จ พระยามหากษัตริย์ศึก
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้ อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒
องค์นี้มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทร์ ได้ในปี พ.ศ.
๒๓๒๒โดยโปรดให้อัญเชิญ พระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐาน






พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
วังสวนผักกาด เป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่เจ้าของบ้าน คือ พลตรี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือ
เสด็จในกรมฯ และ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร หรือ “คุณท่าน” ได้เปิดบ้านซึ่งหลายคนรู้จักในนาม “วังสวนผักกาด” ให้บุคคลภายนอกเข้าชมในขณะที่ท่านเจ้าของยังคงใช้เป็นที่พำนักนับแต่
พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา

ตลาดจตุจักรถือว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตสุดสัปดาห์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่นี่เป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่รวบรวมสินค้ามากมายจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
มีสินค้าหลากชนิดให้เลือกสรรแถมได้ของที่ถูกใจ
ในราคาที่ย่อมเยาว์สำหรับตลาดนัดจตุจักรมีจำนวนแผงค้าทั้งหมดมากกว่า 8,000 แผงค้าแบ่งเป็น 27 โครงการ โดยภายในโครงการต่างๆ
ประกอบไปด้วย สินค้าหลากหลายชนิด ทั้งจากผู้ผลิตโดยตรง และ
ผู้ขายรายย่อยการเดินทางสะดวกสบายมากมีรถประจำทางผ่านหลายสาย และ รถไฟฟ้า BTSโดยสินค้าประกอบไปด้วย หลายหมวดหมู่ เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงค่ำ


สวนวชิรเบญจทัศ หรือที่นิยมเรียกว่า สวนรถไฟ
เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่มีทิวทัศน์สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงเทพ
มีเนื้อที่มากกว่า 375 ไร่ ตั้งอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ในบริเวณใกล้กันยังติดกับสวนสาธารณะอีก 2 สวน คือ
สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจตุจักร


ระบบการขนส่ง รถไฟฟ้ามหานคร หรือ รถไฟฟ้า BTS เป็นระบบการขนส่งที่รวดเร็วและปลอดภัย
โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทางด้วยกันคือ เส้นทางสุขุมวิท (สถานีอ่อนนุช-สถานีหมอชิต)
และเส้นทางสีลม (สถานีสะพานตากสิน-สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ) โดยราคาค่าโดยสารจะอยู่ระหว่าง
10-40 บาท และเพื่อความประหยัด นักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรโดยสารประเภท 30 วัน
ราคา 250 บาท (10 เที่ยว) หรือบัตร 1 วัน ราคา 100 บาท
(ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวและระยะทาง) สามารถใช้บริการของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
บีทีเอส ได้ที่สถานีสยาม สถานีนานา และ สถานีสะพานตากสิน เปิดให้บริการทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 08.00 - 20.00 น.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2617-7340
รถไฟฟ้ากรุงเทพเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว
โดยมีจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายเฉลิมรัชมงคลที่สถานีหัวลำโพง สิ้นสุดปลายทางที่สถานีบางซื่อ
ผ่านทั้งหมด 18 สถานี และอัตราค่าโดยสารจะอยู่ระหว่าง 10-15 บาท
(ในช่วงทดลองอัตราค่าโดยสาร)รถไฟฟ้ากรุงเทพเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-24.00
น.ของทุกวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2264-5200
รถโดยสารประจำทางของ
ขสมก. มีไว้รองรับผู้ใช้บริการจำนวนมาก อีกทั้งยังมีราคาถูก คือตั้งแต่ราคา 5
บาทตลอดเส้นทาง รถโดยสารปรับอากาศ (สีน้ำเงิน) อัตราค่าโดยสารจะอยู่ระหว่าง 9-17
บาท ส่วนรถโดยสารปรับอากาศยูโร2 (เหลือง-ส้ม) อัตราค่าโดยสารจะอยู่ระหว่าง 11-21
บาท รถโดยสารปรับอากาศไมโครบัสอัตราราคา 20 บาทตลอดเส้นทาง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
184 หรือ 0-2246-0973
นอกจากนี้แผนที่เส้นทางเดินรถสามารถหาซื้อได้จากร้านขายหนังสือทั่วไป
ส่วนแผนที่กรุงเทพนั้นสามารถขอรับได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รถแท็กซี่ที่ประจำอยู่ที่สนามบินและโรงแรมจะมีการกำหนดอัตราราคาที่แน่นอน
ส่วนแท็กซี่ที่ให้บริการทั่วไปจะมีมิเตอร์เป็นตัวบอกระยะทางและค่าโดยสารโดยอัตโนมัติ
ราคาเริ่มต้นที่ 35 บาทในระยะ 3 กิโลเมตรแรก เฉลี่ยอัตราราคาประมาณ 5
บาทต่อกิโลเมตร (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรด้วย)
รถตุ๊กตุ๊กมีชื่อเรียกทางราชการว่า
รถสามล้อเครื่อง นิยมใช้ในการเดินทางในระยะที่ไม่ไกลมากนัก
ค่าโดยสารนั้นผู้โดยสารสามารถตกลงต่อรองกันก่อนได้ ราคาเริ่มต้นที่ 3
กิโลเมตรแรกคือประมาณ 30 บาท
เรือโดยสารในการเดินทางโดยเรือนั้น
นักท่องเที่ยวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงลักษณะของเรือประเภทต่างๆ
เพื่อความสะดวกและการกำหนดระยะเวลาในการเดินทาง
เส้นทางของเรือโดยสารที่แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาคือนนทบุรี-กรุงเทพฯ
โดยเริ่มจากท่าน้ำนนท์ฯ และหมดระยะที่ท่าเรือสะพานตากสิน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
คำขวัญจังหวัด “ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา”พระนครศรีอยุธยาจึงนับเป็นราชธานีที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ตลอดระยะเวลา 417 ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทย
มิได้เป็นเพียงช่วงแห่งความเจริญสูงสุดของชนชาติไทยเท่านั้น
แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์อารยธรรมของหมู่มวลมนุษยชาติซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศอีกด้วย
แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถูกทำลายเสียหายจากสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหรือจากการบุกรุกขุดค้นของพวกเรากันเอง
แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ยังมีร่องรอยหลักฐานซึ่งแสดงอัจฉริยภาพและความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษแห่งราชอาณาจักรผู้อุทิศตนสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม
และความมั่งคั่งไว้ให้แก่ผืนแผ่นดินไทย หรือแม้แต่ชาวโลกทั้งมวล
จึงเป็นที่น่ายินดีว่าองค์การ ยูเนสโก้
โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
และเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519
ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 ณ กรุงคาร์เธจประเทศตูนีเซีย
พระนครศรีอยุธยาโดดเด่นในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ดังนั้น กิจกรรมท่องเที่ยวจึงเกี่ยวเนื่องกัน เช่น
การลงเรือล่องชมเรือนไทยริมแม่น้ำ การขี่ช้างชมโบราณสถาน ทั้งในเกาะเมือง คือ
เส้นทางวิหารพระมงคลบพิตร-วัดพระศรีสรรเพชญ์-วัดพระราม และเส้นทางนอกเมือง
คือรอบวัดมเหยงคณ์นอกจากนี้ ททท. ยังร่วมจัดกิจกรรม “นั่งสามล้อ ต่อตุ๊กตุ๊ก” เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางชมความงดงามของโบราณสถานในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาด้วยรถสามล้อ
ซึ่งเป็นพาหนะหลักของเมือง
หรือจะนั่งรถสามล้อถีบไปเยือนกลุ่มโบราณสถานและชุมชนเก่าแก่บนเกาะเมือง
ก็ได้บรรยากาศย้อนยุคดีไม่น้อยเลยทีเดียวกิจกรรมอีกอย่างที่น่าสนใจ
คือการขี่จักรยานเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในเกาะเมือง
โดยมีร้านให้เช่าจักรยานหลายแห่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดท่าการ้อง
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
เป็นวัดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ นามว่า
"พระพุทธรัตนมงคล" หรือที่เรียกกันว่า "หลวงพ่อยิ้ม"
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น
ขณะที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข
ดังจะเห็นได้จากพระพุทธลักษณะที่งดงามและพระพักตร์ที่มีความเมตตา


วัดพุทไธศวรรย์
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทางด้านใต้ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง หากเดินทางโดยรถยนต์
และใช้เส้นทางสายอยุธยา-เสนา ข้ามสะพานวัดกษัตราธิราชวรวิหาร แล้วเลี้ยวซ้าย
จะผ่านวัดไชยวัฒนาราม มีป้ายบอกทางเป็นระยะไปจนถึงทางแยกซ้ายเข้าวัดพุทไธศวรรย์


วัดกษัตราธิราชวรวิหาร
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
อยู่นอกเกาะเมืองตรงข้ามกับเจดีย์พระศรีสุริโยทัย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
สามารถใช้เส้นทางเดียวกับสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ไปจนถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานวัดกษัตราธิราชฯ


วัดราชบูรณะ
อำเภอพระนครศรีอยุธยา อยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ตรงข้ามวัดมหาธาตุ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1967 ณ
บริเวณที่ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาซึ่งชนช้างกันจนถึงแก่พิราลัยและโปรดเกล้าฯให้ก่อเจดีย์
2 องค์บริเวณนั้น เมื่อคราวเสียกรุงวัดนี้และวัดมหาธาตุถูกไฟไหม้เสียหายมาก
ซากที่เหลืออยู่แสดงว่าวิหารและส่วนต่างๆ ของวัดนี้ใหญ่โต




วัดพระราม
อำเภอพระนครศรีอยุธยา อยู่นอกเขตพระราชวังไปทางด้านทิศตะวันออก
ตรงข้ามกับวิหารพระมงคลบพิตร สมเด็จพระราเมศวรทรงสร้างขึ้นตรงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่1(พระเจ้าอู่ทอง)


วัดไชยวัฒนาราม
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททอง
กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 24(พ.ศ. 2173-2198) โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2173 ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา



วัดมหาธาตุ
อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน
ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์
พงศาวดารบางฉบับกล่าวว่าวัดนี้สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัดเมื่อ
พ.ศ.1927


วัดพนัญเชิงวรวิหาร
อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลคลองสวนพลู
ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง ห่างจากตัวเมืองราว 5 กิโลเมตร หรือเมื่อออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล
ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปตามถนนประมาณ 1 กิโลเมตร
ก็จะเห็นวัดพนัญเชิงอยู่ทางขวามือ

ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
อำเภอบางไทร เป็นศูนย์สาธิตและจำหน่ายศิลปหัตถรรม
งานฝีมือที่มีคุณภาพมาตรฐานจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถเพื่อฝึกอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปหัตถรรมให้แก่เกษตรกร
มีแผนกฝึกอบรมทั้งสิ้น 30 แผนก อาทิ
การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืช

วังช้างอยุธยา แล เพนียด อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ตรงข้ามกับคุ้มขุนแผน มีบริการขี่ช้างทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. ราคาประมาณ 100-500 บาท
ขึ้นอยู่กับระยะเวลา 15 หรือ 30 นาที

วัดหน้าพระเมรุ อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวด้านทิศเหนือของคูเมือง (เดิมเป็นแม่น้ำลพบุรี)
ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง
สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พุทธศักราช 2046 มีชื่อเดิมว่า “วัดพระเมรุราชิการาม”




ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน
จังหวัดขอนแก่น
คำขวัญจังหวัด
”พระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูน ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว
เที่ยวขอนแก่นนครใหญ่ ไดโนเสาร์สิรินธรเน่ สุดเท่เหรียญทองมวยโอลิมปิก” จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นอีกจังหวัดหนึ่งของภูมิภาค
นอกจากจะมีทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของภาคอีสานแล้ว ยังเป็นจังหวัดศูนย์กลางทางการศึกษาและเทคโนโลยีของภูมิภาค
เนื่องจากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
และมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในอำเภอเมืองครบครัน
ทั้งที่พักหลายระดับและบริการต่างๆ จำนวนมาก มีทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติ
ประวัติศาสตร์ และด้านอื่นๆ หลากหลายรูปแบบ
และที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของสนามบินทั้งหมดนั้นล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวของจังหวัดได้เป็นอย่างดี
จึงทำให้ขอนแก่นในปัจจุบันเป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะเมืองท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น






ค่าเข้าชม เด็ก คนละ 10 บาท ผู้ใหญ่ คนละ 20 บาท ชาวต่างชาติ คนละ 90 บาท เปิดให้เข้าชมทุกว้น เวลา 12.00-20.00 น. ยกเว้นวันจันทร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเทศบาลนครขอนแก่น โทร. 0-4327-1173, 0-4322-4031 ต่อ 1603 ในวันและเวลาราชการ


การเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง
หากเริ่มต้นที่เมืองขอนแก่น (ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 445 กิโลเมตร)
ให้เดินทางไปตามเส้นทางสาย 12 (ถนนมะลิวัลย์)
ผ่านอำเภอบ้านฝาง อำเภอหนองเรือ เลยอำเภอหนองเรือไป 3 กิโลเมตร
ให้เลี้ยวขวาไปอำเภอภูเวียง ถึงอำเภอภูเวียงให้ตรงไปเข้าหุบเขาภูเวียง
จนถึงพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ด้วยระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร


รุ่งเช้าจึงเดินทางต่อไปถึง ภูกำพร้า ปรากฏว่า พระธาตุพนม ได้สร้างเสร็จแล้ว จึงเดินทางกลับ และตั้งใจว่าจะนำพระอังคารธาตุกลับไปประดิษฐานไว้ที่บ้านเมืองของตน แต่เมื่อเดินทางผ่านดอนมะขามอีกครั้งปรากฏว่าแก่นมะขามที่ตายแล้วนั้น กลับยืนต้นแตกกิ่งก้านผลิใบเขียวชอุ่มเป็นที่น่าอัศจรรย์ คณะอัญเชิญพระอังคารธาตุจึงพร้อมใจกันสร้างเจดีย์ครอบต้นมะขามนี้ พร้อมกับนำพระอังคารธาตุและพระพุทธรูปบรรจุไว้ในองค์พระธาตุ และให้นามว่า พระธาตุขามแก่น มาจนทุกวันนี้ พระธาตุขามแก่น ถือว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดขอนแก่น ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 จะมีงานฉลองและนมัสการพระธาตุเป็นประจำ




อุทยานแห่งชาติภูเวียง เมื่อพูดถึงอุทยานแห่งชาติภูเวียงนักท่องเที่ยว
ก็ต้องนึกถึงไดโนเสาร์
ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าบริเวณที่ราบสูงที่อยู่ในเขตประเทศไทยปัจจุบันนั้นจะเคยเป็นบ้านของไดโนเสาร์มาก่อนจนกระทั่งเมื่อปี
พ.ศ. 2519 มีการสำรวจแหล่งแร่ยูเรเนียมในบริเวณอุทยานแห่งชาติภูเวียง
ระหว่างการสำรวจนักธรณีวิทยาได้ค้นพบซากกระดูกชิ้นหนึ่งเข้า
และเมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสวิจัยผลปรากฏออกมาว่าเป็นกระดูกหัวเข่าข้างซ้ายของไดโนเสาร์
จากนั้นนักสำรวจก็ได้ทำการขุดค้นกันอย่างจริงจังเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน
อุทยานแห่งชาติภูเวียง ครอบคลุมพื้นที่ 380 ตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอเวียงเก่า อำเภอภูเวียง อำเภอสีชมพู และอำเภอชุมแพ ประกอบด้วยสิ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ บนยอดภูประตูตีหมา หลุมขุดค้นที่ 1 ได้พบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์หนึ่งมีลำตัวสูงใหญ่ประมาณ 15 เมตร คอยาว หางยาว เป็นพันธุ์กินพืชซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน จึงได้อัญเชิญพระนามของสมเด็จพระเทพฯ มาตั้งชื่อ ไดโนเสาร์ พันธุ์นี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า "ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่" (Phuwianggosauras Sirindhornae)และในบริเวณหลุมขุดค้นเดียวกันนั้นเอง นักสำรวจได้พบฟันของไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อปะปนอยู่มากกว่า 10 ซี่ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าโซโรพอดตัวนี้ อาจเป็นอาหารของเจ้าของฟันเหล่านี้ แต่ในกลุ่มฟันเหล่านี้มีอยู่หนึ่งซี่ ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เมื่อนำไปศึกษาปรากฎว่าฟันชิ้นนี้เป็นลักษณะฟันไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนเช่นกัน จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ นายวราวุธ สุธีธร ว่า "ไซแอมโมซอรัส สุธีธรนี่" (Siamosaurus Suteethorni) ผู้สนใจสามารถเดินไปชมได้ หลุมขุดค้นที่ 1 นั้นอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานและยังสามารถเดินไปชมหลุมขุดค้นที่ 2 และที่ 3 ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย
ฟอสซิล "ไซแอมโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส" (Siamotyrannus Isanensis) เป็นสิ่งที่ชี้ว่าไดโนเสาร์จำพวกไทรันโนซอร์มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพราะฟอสซิลที่พบที่นี่เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด (120-130 ล้านปี) แต่กระดูกชิ้นนี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯ
บริเวณหินลาดป่าชาด หลุมขุดค้นที่ 8 พบรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวน 68 รอยอายุประมาณ 140 ล้านปี เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์เล็กที่สุดในโลกเดิน 2 เท้า แต่หนึ่งในรอยเท้าหล่านั้น มีขนาดใหญ่ผิดจากรอยอื่น คาดว่าเป็นของคาร์โนซอรัส การไปชมควรเดินทางด้วยรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ห่างจากที่ทำการ 19 กิโลเมตร ส่วนฟอสซิลดึกดำบรรพ์อื่น ๆ ที่ขุดพบ เช่น ซากลูกไดโนเสาร์ ซากจระเข้ขนาดเล็ก ซากหอย 150 ล้านปี จะอยู่กระจัดกระจายกันอยู่ตามหลุมต่าง ๆ
อุทยานแห่งชาติภูเวียง ครอบคลุมพื้นที่ 380 ตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอเวียงเก่า อำเภอภูเวียง อำเภอสีชมพู และอำเภอชุมแพ ประกอบด้วยสิ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ บนยอดภูประตูตีหมา หลุมขุดค้นที่ 1 ได้พบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์หนึ่งมีลำตัวสูงใหญ่ประมาณ 15 เมตร คอยาว หางยาว เป็นพันธุ์กินพืชซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน จึงได้อัญเชิญพระนามของสมเด็จพระเทพฯ มาตั้งชื่อ ไดโนเสาร์ พันธุ์นี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า "ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่" (Phuwianggosauras Sirindhornae)และในบริเวณหลุมขุดค้นเดียวกันนั้นเอง นักสำรวจได้พบฟันของไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อปะปนอยู่มากกว่า 10 ซี่ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าโซโรพอดตัวนี้ อาจเป็นอาหารของเจ้าของฟันเหล่านี้ แต่ในกลุ่มฟันเหล่านี้มีอยู่หนึ่งซี่ ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เมื่อนำไปศึกษาปรากฎว่าฟันชิ้นนี้เป็นลักษณะฟันไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนเช่นกัน จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ นายวราวุธ สุธีธร ว่า "ไซแอมโมซอรัส สุธีธรนี่" (Siamosaurus Suteethorni) ผู้สนใจสามารถเดินไปชมได้ หลุมขุดค้นที่ 1 นั้นอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานและยังสามารถเดินไปชมหลุมขุดค้นที่ 2 และที่ 3 ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย
ฟอสซิล "ไซแอมโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส" (Siamotyrannus Isanensis) เป็นสิ่งที่ชี้ว่าไดโนเสาร์จำพวกไทรันโนซอร์มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพราะฟอสซิลที่พบที่นี่เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด (120-130 ล้านปี) แต่กระดูกชิ้นนี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯ
บริเวณหินลาดป่าชาด หลุมขุดค้นที่ 8 พบรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวน 68 รอยอายุประมาณ 140 ล้านปี เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์เล็กที่สุดในโลกเดิน 2 เท้า แต่หนึ่งในรอยเท้าหล่านั้น มีขนาดใหญ่ผิดจากรอยอื่น คาดว่าเป็นของคาร์โนซอรัส การไปชมควรเดินทางด้วยรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ห่างจากที่ทำการ 19 กิโลเมตร ส่วนฟอสซิลดึกดำบรรพ์อื่น ๆ ที่ขุดพบ เช่น ซากลูกไดโนเสาร์ ซากจระเข้ขนาดเล็ก ซากหอย 150 ล้านปี จะอยู่กระจัดกระจายกันอยู่ตามหลุมต่าง ๆ





อุทยานแห่งชาติน้ำพองอุทยานแห่งชาติน้ำพอง
อยู่ใน อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น มีพื้นที่ทั้งสิ้น 197 ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ อุบลรัตน์ ภูเวียง บ้านฝาง
มัญจาคีรี และ โคกโพธิ์ชัย และสองอำเภอในจังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ บ้านแท่น
และแก่งคร้อ ที่ทำ การอุทยานแห่งชาติน้ำพอง ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์
เป็นทั้งแหล่งต้นน้ำของลำน้ำชี ลำน้ำพอง และแหล่งสมุนไพร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา
ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้งในบริเวณอุทยานมีจุดชมวิวอยู่หลายแห่ง ได้แก่
"จุดชมวิวหินช้างสี" เป็นกลุ่มหินใหญ่บนสันเขาป่าโสกแต้
ด้านข้างของหินมีรอยดินที่ช้างใช้ลำตัวสีก้อนหินติดอยู่
ใช้เวลาเดินเท้าจากที่ทำการประมาณ 2 ชั่วโมง หรือโดยรถยนต์จากสวนป่าโสกแต้ ระยะทางประมาณ
8 กม.จากจุด นี้จะมองเห็นทัศนียภาพของอ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ และเมืองขอนแก่น
เดินเท้าจากจุดนี้ไป 30 นาทีจะเป็น "จุดชมวิวพลาญชาด"
เป็นลานหินที่มีต้นชาดขึ้นอยู่ ถัดไปคือ "ผาสวรรค์" เป็นหน้าผาบนเทือกเขาป่าโสกแต้อยู่บริเวณ
บ้านโนนสวรรค์ อำเภออุบลรัตน์ เป็นจุดชมทัศนียภาพของอ่างเก็บน้ำที่งดงามอีกจุดหนึ่ง
ใช้เวลาเดินเท้าจากที่ทำการประมาณ 2 ชั่วโมง สถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งก็คือ
"คำโพน" เป็นบ่อหินกลมคล้ายปล่องภูเขาไฟเกิดจากสภาพทางธรณีวิทยา


จังหวัดเลย
คำขวัญ
จังหวัดเลย” เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดูสถานที่ท่องเที่ยว”
จังหวัดเลยเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนท่ามกลางสายหมอกปก
คลุมเหนือยอดภู อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิดที่รู้จักกันดีคือ ภูกระดึง
ภูหลวงและภูเรือ อากาศอันเย็นสบาย ภูมิประเทศที่งดงาม
ประเพณีวัฒนธรรมอันแตกต่างไปจากถิ่นอื่นซึ่งได้แก่การละเล่นผีตาโขน
ที่รอคอยนักเดินทางมาสัมผัสเมืองแห่งขุนเขาดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้
เลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 520 กิโลเมตร
มีพื้นที่ 11,424 ตารางกิโลเมตร
เป็นจังหวัด ชายแดนที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
ริมฝั่งแม่น้ำโขงในแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในอดีตนั้นเป็นเพียง ชุมชนเล็ก ๆ
ของอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองควบคู่กับกรุงศรีอยุธยาของไทย
ภายหลังอาณาจักรล้านช้างเริ่มอ่อนแอลง จึงมาขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาชุมชนนี้ได้รับการยกฐานะเป็นเมืองเลยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จังหวัดเลยแบ่งการปกครองออกเป็น 14 อำเภอ คือ
อำเภอเมืองเลย วังสะพุง ปากชม เชียงคาน ท่าลี่ ภูเรือ ด่านซ้าย ภูกระดึง นาแห้ว
นาด้วง ภูหลวง ผาขาว เอราวัณ และหนองหิน
สถานที่ท่องเที่ยว


ภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2
ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย
เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร
จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย
จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล
สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์
หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง
ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ
และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส
จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึง
สักครั้งหนึ่งในชีวิต
สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย
สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย




นอกจากนั้น
หากอากาศดีพอ ในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น
เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับ เวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า
ด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ
ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่
ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือน มีนาคม-เมษายน
ผาหล่มสัก
ถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่
ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง …หลายคนถึงกับออกปากไว้แบบนั้น
ตัวผาหล่มสักอยู่ห่างจากผาแดง 2.5 กิโลเมตร
หากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ บนเส้นทางน้ำตก
แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวาง จะมีระยะประมาณ 9 กิโลเมตร
หากจะมาต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะขากลับจะมืดกลางทางอย่างแน่นอน
ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง
ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง


ผาหมากดูกอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง
เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด
สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก

น้ำตกถ้ำสอเหนือ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร
เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก
บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น
น้ำตกวังกวาง
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
น้ำตกวังกวางอยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุด โดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ห้วยเล็กๆ ที่โอบล้อมที่พักอีกด้านจะไหลลงน้ำตกที่นี่
วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงสุด จะสูงประมาณ 7 เมตร
ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ สำหรับปีนลงไปทีละคน
จะพบหลืบหินมีลักษณะคล้ายถ้ำใต้น้ำตกน้ำตกวังกวางจะมีความสวยงามมากในช่วงฤดูฝน
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม บริเวณนี้จะมีทากชุม เพราะเป็นด่านช้าง
หรือทางช้างเดิน ส่วนในฤดูท่องเที่ยวซึ่งเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย
นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมได้ง่ายใกล้ที่พัก



น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ







ในปี
พ.ศ. 2519 อธิบดีกรมป่าไม้ เดินทางมาราชการที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
นายสุจินต์ เพชรดี ปลัดจังหวัดเลย ได้ให้ความเห็นว่า
ควรส่งเสริมป่าภูเรือให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด
จากนั้นจังหวัดเลยจึงให้ทางอำเภอภูเรือสำรวจพื้นที่ป่าภูเรือ
ซึ่งอำเภอภูเรือได้รายงานถึงจังหวัดเลยว่า
พื้นที่ป่าภูเรือมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามสำคัญหลายแห่ง เช่น ป่าไม้ น้ำตก
ทิวทัศน์ เหมาะที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติได้ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้
จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเบื้องต้นของป่าภูเรือ
ท้องที่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ปรากฏว่า
ป่าแห่งนี้อยู่ในเขตป่าหมายเลข 23
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ให้รักษาไว้ให้เป็นป่าถาวรของชาติ
พื้นที่ป่าภูเรือประกอบด้วยทิวเขาสูง
สลับซับซ้อนเรียงรายเป็นรูปต่างๆ น่าพิศวงสลับกับที่ราบเป็นบางส่วน
สาเหตุที่ขนานนามว่า “ภูเรือ” เพราะมีภูเขาลูกหนึ่งมีชะโงกผายื่นออกมาดูคล้ายสำเภาใหญ่
และที่ราบบนยอดเขามีลักษณะคล้ายท้องเรือตลอดจนมีธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงาม
เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ





รถโดยสารประจำทาง
โดยสารรถยนต์จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) กรุงเทพมหานคร ไปลงที่ผานกเค้า ซึ่งเป็นเขตต่อแดนระหว่างชุมแพ-ภูกระดึง แล้วโดยสารรถประจำทาง(รถสองแถว) ไปลงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยอดภูกระดึงควรใช้รถประจำ หรือหากนักท่องเที่ยวใช้รถประจำทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ลงที่ชุมแพ และต่อรถสายขอนแก่น-เลย ไปลงที่ตลาดอำเภอภูกระดึง ซึ่งจะมีรถสองแถวต่อถึงไปอุทยานฯ
รถไฟ
จากกรุงเทพมหานครโดยสารรถไฟไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นโดยสารรถประจำทางสายขอนแก่น-เลย ไปยังหน้าตลาดที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถว หรือเดินทางต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นยอดภู จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภู อีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึง “หลังแป” แล้วเดินเท้าไปตามทุ่งหญ้าอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พักบนยอดภูกระดึงทางอุทยานฯ ได้จัดลูกหาบสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดภูกระดึง คิดค่าบริการเป็นกิโลกรัม

โดยสารรถยนต์จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) กรุงเทพมหานคร ไปลงที่ผานกเค้า ซึ่งเป็นเขตต่อแดนระหว่างชุมแพ-ภูกระดึง แล้วโดยสารรถประจำทาง(รถสองแถว) ไปลงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยอดภูกระดึงควรใช้รถประจำ หรือหากนักท่องเที่ยวใช้รถประจำทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ลงที่ชุมแพ และต่อรถสายขอนแก่น-เลย ไปลงที่ตลาดอำเภอภูกระดึง ซึ่งจะมีรถสองแถวต่อถึงไปอุทยานฯ
รถไฟ
จากกรุงเทพมหานครโดยสารรถไฟไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นโดยสารรถประจำทางสายขอนแก่น-เลย ไปยังหน้าตลาดที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถว หรือเดินทางต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นยอดภู จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภู อีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึง “หลังแป” แล้วเดินเท้าไปตามทุ่งหญ้าอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พักบนยอดภูกระดึงทางอุทยานฯ ได้จัดลูกหาบสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดภูกระดึง คิดค่าบริการเป็นกิโลกรัม

เดินทางโดยรถยนต์ สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง
1. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
2. ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่านและตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
3. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นเดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2
1. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
2. ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่านและตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
3. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นเดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2
ภาคใต้
จังหวัดภูเก็ต
คำขวัญ “ไข่มุกอันดามัน เมืองท่องเที่ยว หลากสีสันระดับอินเตอร์”
สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลหาดทรายขาว
น้ำทะเลใส แสงแดดจัดแจ่ม และความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร
ร้านขายของที่ระลึก บริษัทนำเที่ยว การแสดงอันเต็มไปด้วยสีสัน ฯลฯ
ย่อมไม่มีใครไม่นึกถึงภูเก็ต เกาะขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศพื้นที่ประมาณ 543 ตร.กม. ของเกาะนี้โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีเขียวมรกตและมีหาดทรายขาวเนียน
เหมาะแก่การพักผอ่น
รวมทั้งยังเอื้อต่อการทำกิจกรรมสนุกในทะเลและริมทะเลอีกด้วย ความโดด
เด่นของชายทะเลและกล่มเกาะในภูเก็ตเกิดจากภูมิประเทศที่เป็นชายฝั่งทะเลลด ตัว
พื้นที่ส่วนที่ต่ำจะจมอยู่ใต้น้ำ ปรากฎเฉพาะยอดสูงเหลี่ยมล้ำเหนือผิวทะเลเป็นกลุ่มเกาะน่าเที่ยว
สำหรับตัวเกาะใหญ่คือภูเก็ต นั้น ทางฝั่งตะวันตกมีลักษณ์เป็นอ่าวเว้าแหว่ง
และปูลาดด้วยเม็ดทรายละเอียด เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน เป็นต้น
ส่วนทางด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนและหาดโคลน
ขณะที่บริเวณทิศใต้มีแนวปะการังสวยงาม นอกจากตัวเกาะใหญ่แล้ว เกาะเล็กเกาะน้อยที่ตั้งอยู่รอบๆ
ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสเช่นเกาะราชา
เกาะเฮ เกาะมะพร้าวเป็นต้น
ไม่เพียงเพราะภูมิประเทศงดงามทำให้ภูเก็ตเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
จังหวัดภูเก็ตมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมายและหลากหลายรูปแบบ
โดยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นคือชายหาดต่างๆ เช่น หาดป่าตอง หาดกะรน
หาดกะตะ หาดกมลา ฯลฯนอกจากนี้ยังมีเกาะใหญ่น้อยต่างๆ รอบภูเก็ต เช่น เกาะไม้ท่อน
เกาะราชา เกาะรัง เกาะเฮ เกาะสิเหร่ เป็นต้น รวมทั้งมีน้ำตกบางแป น้ำตกกะทู้ และน้ำตกโตนไทรด้วยสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์และศาสนสถานที่สำคัญ
ได้แก่ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคาคีรี วัดฉลอง ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย
อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่
พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เป็นต้นนอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ
อีกมากมาย เช่น ภูเก็ตแฟนตาซี พิพิธภัณฑ์เปลือกหอย สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ
สวนสัตว์ภูเก็ต ฯลฯ
สถานที่ท่องเที่ยว
แหลมพรมเทพ เป็นจุดชมวิวที่สวยงามของภูเก็ต
อยู่ห่างจากหาดราไวย์ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต
ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า จากริมหน้าผามีแนวต้นตาลลาดลงสู่ปลายแหลมที่เป็นโขดหิน
สามารถเดินไปจนถึงปลายแหลมได้ มองเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต
และสามารถเห็นเกาะแก้วอยู่ด้านหน้าแหลม ทางขวาจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหาน
แหลมพรหมเทพนับเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังมี “ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ” สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ
50 ปี มีขนาดความกว้างที่ฐาน 9 เมตร สูง
50 ฟุต และแสงไฟจากโคมไฟจะมองเห็นไกลถึง 39 กิโลเมตร
ภายในประภาคารมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างประภาคาร
การรักษาเวลามาตรฐาน การคำนวณ และแสดงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก
จากบนยอดของประภาคารยังเป็นจุดชมวิว






หาดกมลา อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต
26 กิโลเมตร จากอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร เลี้ยวซ้ายผ่านหาดสุรินทร์
แหลมสิงห์ ก็จะถึงหาดกมลาเป็นแนวหาดทรายยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นหาดที่สงบเงียบ มีสถานที่พักบริการนักท่องเที่ยว



วัดฉลอง หรือชื่อที่เรียกเป็นทางการ
ก็คือ วัดไชยธาราม เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่มีชื่อเสียงของภูเก็ต ถ้าใครมา ภูเก็ตจะต้องมาแวะนมัสการ หลวงพ่อแช่ม
แห่งวัดฉลอง เพื่อเป็นสิริมงคลแต่ตัวเอง
เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ กิตติศัพท์ในการรักษาโรค
บุญญาบารมีและเมตตาธรรมที่สูงส่งของหลวงพ่อทำให้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก
เล่ากันว่าในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นถึงกับมีผู้ที่รอปิดทองตามแขนและขาของท่านจนแลดูเหลืองอร่าม
ไปทั่วราว
กับปิดทองพระพุทธรูปและแม้ว่าหลวงพ่อแช่มจะมรณภาพเป็นเวลานับหนึ่งร้อยปีมาแล้วก็ตาม
ชื่อเสียงเกียรติคุณ และบารมีของท่านก็อยู่ในความทรงจำของผู้คนสืบมา


เมืองเก่าภูเก็ต
ชิโนโปรตุกีส
ภูเก็ตยังจัดว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และความรุ่งเรืองอันยาวนานอีกเมืองหนึ่งของไทยโดยหนึ่งในรอยอดีต
อันรุ่งเรืองของภูเก็ตตึกเก่าแบบชิโน-โปรตุกีสถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. 2446 เนื่องจากการทำเหมือง แร่ที่เติบโตทำให้ชาวจีนและชาวตะวันตกต่างหลั่งไหลเข้ามาที่เมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
เมื่อเข้าสู่เขตเทศบาล เมือง
ภูเก็ตสิ่งแรกที่ผู้ไปเยือนจะรู้สึกสะดุดตาก็คือตึกเก่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านการค้าเก่าเเก่ของเมือง
เป็น อาคารสไตล์ ชิโนโปรตุกีสที่ผสมผสานเอาความเป็นศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่าง
กลมกลืน จนเป็นเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นของเมืองภูเก็ต
ตึกเก่าเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วตัวเมืองภูเก็ต สามารถเดินชมได้อย่างต่อ เนื่อง
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารอร่อยหลายเจ้าให้เที่ยวไปกินไปอย่างเพลิดเพลินและทางเทศบาล
เมืองภูเก็ต ก็ได้เห็นถึงความสำคัญของ สถาปัตยกรรมเหล่านี้
โดยได้ทำการอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสนี้
ไว้และจัดให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ของการท่องเที่ยว
จัดให้มีเส้นทางเดินชมเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้
สัมผัสกับความสวยงามของบ้านเรือนเก่าแก่ของภูเก็ตและสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส
ที่สวยงาม พร้อมๆกับได้ สัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ความเป็นอยู่
ของคนภูเก็ตและที่สำคัญอาหารอร่อยเลื่องชื่อการเดิน ชมเมืองเก่า เสน่ห์แห่ง
ชิโนโปรตุกีส เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การศึกษายิ่ง




จุดชมวิวเขาขาด
ภูเก็ต
หอชมวิวเขาขาด เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่ง ของจังหวัดภูเก็ต
สร้างขึ้นตามโครงการขององค์การบริหาร ส่วน ตำบลวิชิต
(อันนี้ต้องให้เครดิตเค้าหน่อย) ตั้งอยู่ในตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวมะขาม ใกล้กับแหลมพันวา จุดชมวิวเขาขาดเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
ของเมืองภูเก็ตที่มีจุดชมวิวมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถชมวิวได้ 360 องศา และแน่นอนว่าชมวิวได้ 360 องศาอย่างแท้จริงที่นี่คือ
“จุดชมวิวเขาขาด” หากพูดถึงจุดชมวิวแห่งนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนักไม่ว่าจะในหมู่นักท่องเที่ยว
หรือแม้กระทั่งคนพื้นที่เองเพราะเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน
และตำแหน่งก็อยู่ในโซนที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของภูเก็ตแต่จุดชมวิวแห่งนเป็นมุมมองใหม่ที่มีเสน่ห์ไม่แพ้จุดอื่น
ๆของภูเก็ตเลยทีเดียว


เกาะเฮ เป็นเกาะเล็กๆ
เกาะหนึ่ง ตั้งอยู่ทางใต้สุดของจังหวัดภูเก็ต ห่างจากชายฝั่งภูเก็ตประมาณประมาณ 10 ก.ม. เป็นอีกหนึ่งเกาะยอดนิยมของจังหวัดภูเก็ต
ที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยง่าย โดยเรือสปีดโบ๊ทเพียง 10-15 นาที และโดยเรือหางยาวประมาณ 45 นาที
ซึ่งเป็นเกาะที่เดินทางค่อนข้างสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก


เกาะราชาหรือเกาะราชาใหญ่
มีหาดทรายขาวสะอาด มีหาดทางด้านตะวันตกอยู่ระหว่างหุบเขาเป็นรูปคล้าย
เกือกม้าเรียกว่า อ่าวปะตก มีหาดทรายขาวละเอียด
น้ำทะเลใสสะอาดลักษณะคล้ายทะเลแถบหมู่เกาะสิมิลัน
ทางใต้ทางใต้เกาะราชาตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ต ห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ
15 กิโลเมตร มีพื้นที่ ทั้งเกาะกว่า3,000 ตารางกิโลเมตร
มีพื้นราบ และเนินเขา ที่มีความสูงไม่มากนัก ชาวบ้านได้เข้าไปทำการจับจอง
ที่ดินทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ และอาศัยอยู่ ที่เกาะราชาใหญ่ประมาณ 16 ครอบครัว ส่วนพื้นที่ราบ ที่อยู่ติด ทะเลชาวบ้าน
และนักลงทุนได้พัฒนาบางส่วนเป็นที่พัก และร้านอาหารสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวหากใคร
ได้มา เที่ยวภูเก็ต โปรแกรมทัวร ์เกาะราชาหรือรายา
เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เกาะราชา่มีชายหาดที่โค้ง
ยาวสวยงามอยู่หลายแห่ง
เที่ยวสะดวกเพราะมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติได้รอบเกาะต่างๆ


หาดกะรน อยู่ถัดจากหาดกะตะไปทางเหนือ
มีเพียงเนินเขาเตี้ย ๆ คั่นอยู่เท่านั้น
แต่ถ้าจะไปที่กลางหาดกะรนและหมู่บ้านกะรน มีถนนแยกจากหาดกะตะไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร อ่าวกะรนใหญ่กว่าอ่าวกะตะ มีชายหาดยาวเหยียด
เหนือชายหาดเป็นเนินทรายสูงๆ ต่ำๆ มีสนทะเลต้นใหญ่ๆ และต้นตาลขึ้นเรียงรายอยู่โดยทั่วไป
หาดทรายที่อ่าวกะรนขาวสะอาดและละเอียดมาก






ข้อมูลการเดินทาง
พังงาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ประมาณ 814 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดกาญจนบุรีได้หลายวิธี
ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และเครื่องบิน
โดยรถไฟรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ
ไปลงที่สถานีสุราษฎร์ธานี อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงาอีกประมาณ ๒ ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่
สถานีรถไฟหัวลำโพง โทร. ๑๖๙๐, ๐
๒๒๒๐ ๔๓๓๔, ๐
๒๒๒๐ ๔๔๔๔ (สำรองตั๋วทางโทรศัพท์ ๓ วันขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน) หรือ www.railway.co.thโดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ
ไปพังงาได้ 2 เส้นทาง คือ
เส้นทางแรก
จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข ๔
ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง จากนั้นจึงเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดพังงา
รวมระยะทาง ๗๘๘ กิโลเมตร
ใช้เวลาในการเดินทาง ๑๒ ชั่วโมง
เส้นทางที่สอง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๔ ไปจนถึงจังหวัดชุมพร
และจากจังหวัดชุมพรให้ตรงไปใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๑ ผ่านอำเภอท่าฉาง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๔๐๑ จนถึงอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๑๕
ผ่านอำเภอทับปุดเข้าสู่ตัวเมืองพังงา โดยรถประจำทางรถโดยสารประจำทางบริษัท ขนส่ง
จำกัด มีรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ กรุงเทพฯ-พังงา บริการทุกวัน
ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ๑๐ ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. ๐ ๒๘๙๔ ๖๑๒๒
และบริษัทเดินรถเอกชน คือ บริษัท ลิกไนท์ทัวร์ โทร. ๐ ๒๘๙๔ ๖๑๕๑-๒ สถานีพังงา
ถนนเพชรเกษม (หลังธนาคารนครหลวงไทย) โทร.
๐ ๗๖๔๑ ๒๓๐๐, ๐
๗๖๔๑ ๒๐๑๔ www.transport.co.th
การเดินทาง กรุงเทพฯ-พังงา
จังหวัดพังงา
คำขวัญ “แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ
ถ้ำงามตา ภูพาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร”
พังงา คือ จังหวัดที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมาย
ทั้งบนบกและใต้น้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเกาะสวยงามที่วางตัวเรียงรายอยู่ในทะเลอันดามัน
จนพังงาได้รับสมญานามว่าเป็นดินแดนแห่งป่าเกาะ
รวมทั้งยังมีผืนป่าชายเลนหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยพังงาเต็มไปด้วยวิถีชีวิตที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้คนหลากเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน มุสลิม และชาวไทยใหม่ (ชาวเล)
ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเก่าแก่ที่น่าสนใจ เช่น เกาะปันหยี เกาะยาว
หมู่บ้านชาวมอแกนในบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ ชุมชนชาวเหมืองแร่ที่ตะกั่วป่า
ฯลฯนอกจากนั้น พังงายังเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์
เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น โลกใต้น้ำของหมู่เกาะสิมิลัน
ดงปะการังหลากหลายและฝูงปลาน้อยใหญ่ใต้ทะเลหมู่เกาะสุรินทร์ เขาตาปู เขาพิงกัน
เกาะพระทอง
ฯลฯทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทรัพยากรล้ำค่าที่ทำให้พังงาเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเสมอมา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
"อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์" เป็นหมู่เกาะในทะเลอันดามัน
ห่างจากฝั่งไปทางทิศตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร
เป็นหมู่เกาะที่อยู่ติดกับเขตชายแดนไทย - พม่า มีพื้นที่ประมาณ 84,375 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่บนบกประมาณ 20,594 ไร่
ประกอบด้วยเกาะสำคัญ 5 เกาะ คือ เกาะสุรินทร์เหนือ
เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะไข่ (เกาะตอรินลา) เกาะกลาง (เกาะปาจุมบา) และเกาะรี
(เกาะสต๊อก) ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม
2524 เป็นหมู่เกาะที่มีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์สวยงาม
มีปลาสีสันต่าง ๆ มากมาย เป็นแหล่งสำหรับเหมาะชมปะการังน้ำตื้น
โดยเฉพาะเกาะตอรินลา
สำหรับบริเวณที่เหมาะจะดำน้ำลึก
คือ กองหินริเชลิว อยู่ห่างจากเกาะสุรินทร์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 10 กิโลเมตร
เป็นแหล่งที่สมบูรณ์ด้วยธรรมชาติใต้ทะเล มีปลาหลายพันธุ์ ปะการังสีสวย
และเป็นจุดที่มีโอกาสพบฉลามวาฬ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลมาว่ายให้เห็นอยู่เสมอ (สุดยอด!!)
ช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางท่องเที่ยวคือ เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน
ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เป็นช่วงที่มีลมมรสุม ฝนตกชุก คลื่นลมแรง


ทั้งนี้
สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โทร.0-7649-1378
"อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" อยู่ตำบลเกาะพระทอง
ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นเขตอุทยานฯ เมื่อ 1
กันยายน พ.ศ. 2525 คำว่า "สิมิลัน"
เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า "เก้า" หรือ "หมู่เกาะเก้า"
หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอันดามัน มีทั้งหมด 9 เกาะ เรียงลำดับจากเหนือมาใต้ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน
เกาะเมี่ยง (มี 2 เกาะติดกัน) เกาะปายู เกาะหัวกระโหลก (
เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู
ทั้งนี้ ที่ทำการอุทยานฯ
อยู่ที่เกาะเมี่ยงเพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความงามทั้งบนบกและใต้น้ำ
ที่ยังคงความสมบูรณ์ของท้องทะเล สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก
มีปะการังที่มีสีสันสวยงามหลากชนิด ปลาหลากสีสันและหายากเช่น กระเบนราหู ปลาวาฬ
ปลาโลมา ปลาไหลมอนเร่ ปลาการ์ตูน ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน
เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน
เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีคลื่นลมแรงเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ
ซึ่งทางอุทยานฯ จะประกาศปิดเกาะในเดือนพฤษภาคมเพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติทุกปี
อย่างไรก็ตาม
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ที่
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน โทร. 0-7642-1365
อุทยานแห่งชาติศรีพังงา อยู่ในเขตอำเภอคุระบุรี และอำเภอตะกั่วป่า ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานมสาว มีเนื้อที่ 153,800 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีป่าไม้สมบูรณ์เป็นประเภทป่าดิบชื้น มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้ยาง ไม้ตะเคียนทอง ปาล์มสกุลต่างๆ กระพ้อหนู ชายผ้าสีดา กล้วยไม้ เช่น รองเท้านารี เอื้องเงินหลวง และยังสามารถพบสัตว์ป่าและนกต่างๆ หลายชนิด ได้แก่ สมเสร็จ เลียงผา วัวแดง เก้ง เสือ นกเงือก นกเขียวคราม นกชนหิน ปลาพลวง กบทูด เป็นต้น อุทยานฯ จะมีฤดูฝนมากกว่าฤดูร้อน ฝนตกเกือบตลอดปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2531 และได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ
เส้นทางแรก จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง จากนั้นจึงเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดพังงา รวมระยะทาง 788 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง
เส้นทางที่สอง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ไปจนถึงจังหวัดชุมพร และจากจังหวัดชุมพรให้ตรงไปใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 401 จนถึงอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 415 ผ่านอำเภอทับปุดเข้าสู่ตัวเมืองพังงา
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สถานีพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทร.1690, 0-2223-7010, 0-2223-7020
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สถานีพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทร.1690, 0-2223-7010, 0-2223-7020
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางทั้งแบบปรับอากาศและธรรมดา กรุงเทพฯ - พังงา บริการทุกวัน ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2435-1199 (รถปรับอากาศ) โทร.0-2434-5557-8 (รถธรรมดา) สถานีพังงา ถนนเพชรเกษม (หลังธนาคารหลวงไทย) โทร.0-7641-2300, 0-7641-2014
ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดพังงา ศาลากลางจังหวัดพังงา โทร.0-7641-2071

อุทยานแห่งชาติศรีพังงา อยู่ในเขตอำเภอคุระบุรี และอำเภอตะกั่วป่า ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานมสาว มีเนื้อที่ 153,800 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีป่าไม้สมบูรณ์เป็นประเภทป่าดิบชื้น มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้ยาง ไม้ตะเคียนทอง ปาล์มสกุลต่างๆ กระพ้อหนู ชายผ้าสีดา กล้วยไม้ เช่น รองเท้านารี เอื้องเงินหลวง และยังสามารถพบสัตว์ป่าและนกต่างๆ หลายชนิด ได้แก่ สมเสร็จ เลียงผา วัวแดง เก้ง เสือ นกเงือก นกเขียวคราม นกชนหิน ปลาพลวง กบทูด เป็นต้น อุทยานฯ จะมีฤดูฝนมากกว่าฤดูร้อน ฝนตกเกือบตลอดปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2531 และได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ
เส้นทางแรก จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง จากนั้นจึงเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดพังงา รวมระยะทาง 788 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง
เส้นทางที่สอง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ไปจนถึงจังหวัดชุมพร และจากจังหวัดชุมพรให้ตรงไปใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 401 จนถึงอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 415 ผ่านอำเภอทับปุดเข้าสู่ตัวเมืองพังงา
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สถานีพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทร.1690, 0-2223-7010, 0-2223-7020
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สถานีพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทร.1690, 0-2223-7010, 0-2223-7020
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางทั้งแบบปรับอากาศและธรรมดา กรุงเทพฯ - พังงา บริการทุกวัน ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2435-1199 (รถปรับอากาศ) โทร.0-2434-5557-8 (รถธรรมดา) สถานีพังงา ถนนเพชรเกษม (หลังธนาคารหลวงไทย) โทร.0-7641-2300, 0-7641-2014
ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดพังงา ศาลากลางจังหวัดพังงา โทร.0-7641-2071




"อุทยานแห่งชาติเขาลำปี – หาดท้ายเหมือง" อำเภอท้ายเหมือง ประกาศเป็นเขตอุทยานฯ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2529 มีพื้นที่ทั้งหมด
45,000 ไร่ แยกออกเป็นสองส่วน คือ เทือกเขาลำปี
ประกอบด้วยภูเขาหลายลูกเรียงเป็นแนวยาว ส่วนใหญ่เป็นหินอัคนี อายุอยู่ในช่วง 60
– 140 ล้านปี สภาพป่าเป็นป่าดงดิบ มีพันธุ์ไม้ เช่น ไม้ยาง
ตะเคียนทอง กระบาก เฟิร์น หวาย ไผ่ มียอดเขาที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาขนิม สูง 622
เมตร และหาดท้ายเหมืองซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน
ชายหาดฝั่งตะวันตกเป็นหาดทรายขาว ด้านตะวันออกติดป่าชายเลนและเป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ อีเห็น กวางป่า ไก่ป่า นกเขาเปล้าธรรมดา
ส่วนในทะเลและชายหาดจะพบ ปลากระเบน ปลากระบอก ปลาบิน ปลาดาว และปะการังกลุ่มเล็ก
(โห... แต่ล่ะอย่างน่าดูทั้งนั้นเลย)
"ถ้ำพุงช้าง" อยู่ภายในบริเวณวัดประจิมเขต หลังศาลากลางจังหวัด ถนนเพชรเกษม อำเภอเมือง เป็นถ้ำใหญ่ที่อยู่ใจกลางเขาช้าง บริเวณที่เรียกว่า "พุงช้าง" เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างความยิ่งใหญ่ของหินงอกหินย้อยให้ประทับใจตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น การเที่ยวถ้ำพุงช้าง ถือเป็นการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย นักท่องเที่ยวจะต้องเดินลุยน้ำ นั่งแพ และนั่งเรือแคนนู เพื่อเข้าไปชมหินงอกหินย้อยที่เป็นฝีมือธรรมชาติ หินงอกหินย้อยมีลักษณะของช้างหลากรูปแบบที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหินงอกหินย้อยรูปช้างร้อยๆ เชือกเดินตามกันเป็นวงรอบ หินงอกรูปช้างนั่งอยู่ใต้ฉัตรภายในถ้ำ บันไดสีทองเกิดจากหินงอกอันวิจิตร ยิ่งเมื่อถูกแสงไฟจะเป็นประกายสวยงามมาก ทั้งนี้ การเดินเที่ยวถ้ำพุงช้างใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

"อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา" มีพื้นที่ประมาณ 250,000 ไร่ ครอบคลุมอำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว อุทยานฯ
แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติประเภทชายฝั่งทะเลแห่งที่สองของประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเล และเกาะน้อยใหญ่ มีเขาหินปูนลักษณะต่าง ๆ
ที่มีความงามแตกต่างกันไปตามลักษณะของหิน สมบูรณ์ด้วยป่าชายเลน และยังเป็นแหล่งขยายพันธุ์สัตว์น้ำอีกด้วย
ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2524
ช่วงที่เหมาะจะมาท่องเที่ยวคือ เดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน
ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมเป็นช่วงที่ฝนตกชุก คลื่นลมแรง ทั้งนี้
สามารถสอบถามรายละเอียดพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ที่
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา โทร.0-7641-1136, 0-7641-2188


ชายทะเลเขาหลัก ห่างจากอำเภอตะกั่วป่า 32 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางชายทะเลที่กำลังเป็นที่นิยมอีกแห่งหนึ่ง
บริเวณชายหาดเขาหลักมีหาดทรายกว้างและหินก้อนเล็กใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย บรรยากาศน่านั่งพักผ่อน
สามารถเล่นน้ำได้ ยามเย็นจะมีชาวบ้านมานั่งชมพระอาทิตย์ตก นอกจากนั้น
ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่ง
ที่มีการจัดรูปแบบของที่พักสวนสวยกลมกลืนกับบรรยากาศชายทะเล เงียบสงบ
ร่มรื่นด้วยต้นสน ต้นมะพร้าวริมชายหาด สมบูรณ์ด้วยธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่งด้วยสีสันที่กำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
นอกจากนี้ ฝั่งตรงข้ามทางเข้าอุทยานเขาหลักมีศาลเจ้าพ่อเขาหลัก
ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวบ้านในละแวกนั้นตั้งอยู่
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีเกาะสวรรค์
แหล่งโบราณหอยล้านปี อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี
ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้
เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่สวยงามตามธรรมชาติ รอบๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงามและเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ
คือ ภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้นๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง
จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้
เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง
กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม
และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม
ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96
ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่




ข้อมูลการเดินทาง
รถยนต์ สามารถใช้ได้สองเส้นทางได้แก่
รถโดยสารประจำทาง
เครื่องบิน
การเดินทางไปพังงาทางเครื่องบิน
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเที่ยวบินไปลงที่จังหวัดภูเก็ต
จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงา ระยะทางประมาณ 58 กิโลเมตร
หรือเที่ยวบินไปลงจังหวัดระนอง จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดพังงา
โดยใช้เวลาเดินทางต่อประมาณ 3 ชั่วโมง
2.2การผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์
สื่อที่นิยมใช้ในงานประชาสัมพันธ์มากกว่าสื่ออื่นใด
ในปัจจุบันนี้ก็คือ สื่อวีดีทัศน์ วีดีทัศน์ หรือ วิดีโอ (Video) เป็นการนาเอาโทรทัศน์ (Television) หรือเนื้อหาทางวิชาการ นโยบาย
การประมวลกิจกรรมการดาเนินงาน มาจัดทาเป็นรายการสั้น ๆ ใช้เป็นสื่อเพื่อการนาเสนอ
การอธิบาย การสอน หรือเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่งตามความต้องการของผู้ผลิต
วีดีทัศน์เป็นผลผลิตที่เกิดจากกระบวนการทางานอย่างมีระบบของคณะทางาน
ซึ่งจะเรียกเป็นผู้ผลิต หน่วยผลิต ฝ่ายผลิต หรือบริษัทผลิตรายการ (Prodution House) เพื่อให้ได้มาซึ่งงานวีดีทัศน์
ตามความประสงค์ของงานหรือองค์กร
กระบวนการดังกล่าวเรียกเป็นกระบวนการผลิตรายการซึ่งมีเทคนิคขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การวางแผนการผลิต (Planning)
ในขั้นตอนนี้เป็นการระดมความคิด ความเข้าใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ตั้งแต่ผู้ผลิตรายการ ฝ่ายเทคนิค ฝ่ายเนื้อหา ผู้ออกแบบฉากเวที
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ประชุมปรึกษาถึงประเด็นการผลิตรายการว่าจะผลิตให้ใครดู
หมายถึง กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ดู ผู้ชม และในการผลิตรายการนั้นจะแสดงถึงอะไรบ้าง จะให้ผู้ชมได้รู้
ได้เห็นเกี่ยวกับอะไร ประเด็นสุดท้ายในการวางแผนก็คือ
ผลิตรายการออกมาแล้วคาดหวังผลอย่างไร หรือเพื่อจุดประสงค์อะไรบ้าง
2. การเขียนบท (Script)
บทโทรทัศน์ หรือ บทวีดีทัศน์
เป็นการนาเอาเนื้อหาเรื่องราวที่มีอยู่หรือจินตนาการขึ้นมา เพื่อการนาเสนอให้ผู้ดู
ผู้ชม ได้รับรู้อย่างพอใจ ประทับใจ ผู้เขียนบทวีดีทัศน์ (Script Writer) จึงจาเป็นต้องมีความรอบรู้ในศาสตร์และศิลป์ด้านต่าง
ๆ มีความเข้าใจในธรรมชาติการรับรู้ของมนุษย์ ความศรัทธา สิ่งละอันพันละน้อย
ที่จะไปทาให้กระทบกระทั่ง หรือกระทาในสิ่งที่ผิดไปจากที่สังคมยอมรับ
บทวีดีทัศน์ควรจะมีการใช้ภาษาที่สละสลวย ชวนอ่าน ชวนฟัง มีการเกริ่นนา
การดาเนินเรื่องและบทสรุปที่กระชับ สอดคล้องกัน รู้จักสอดแทรกมุขตลกเกร็ดความรู้
หรือเทคนิคแปลก ๆ มีลีลาที่น่าสนใจ เพื่อเป็นสีสันของเรื่องราว
การเขียนบทวีดีทัศน์จะมีทั้งการร่างบทวีดีทัศน์และการเขียนบทวีดีทัศน์ฉบับสมบูรณ์
ร่างบทโทรทัศน์เป็นการวางโครงเรื่อง (Plot) ของรายการแต่ละรายการ
ปกติจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ การเกริ่นนา (Introduction) เนื้อเรื่องหรือตัวเรื่อง
(Body) และการสรุปหรือการส่งท้าย (Conclusion) การเขียนร่างบทจะเป็นการกาหนดเรื่องราวที่นาเสนอ
นาเอาแก่นของเรื่อง (Theme) หรือความคิดรวบยอด
(Concept) ของเรื่องมาคลี่คลาย
มาขยายให้เห็นอย่างเป็นขั้นตอน มีการสอดแทรกอารมณ์ มีการหักมุม สร้างความฉงน
นาเรื่องราวไปสู่จุดสุดยอด (Climax) ให้ได้ดีที่สุดร่างบทวีดิทัศน์เขียนเป็นความเรียง
ที่ใช้ภาษาสละสลวย ทันสมัย สอดแทรกสาระ เกร็ดความรู้และสร้างความประทับใจ
อาลัยอาวรณ์ ในที่สุด บทวีดีทัศน์ฉบับสมบูรณ์ (Full
Script) หรือเรียกเป็นบทสาหรับถ่ายทา (Shooting
Script) เป็นการนาเอาร่างบทมาขยายอย่างละเอียด ในลักษณะของการถ่ายทา
ซึ่งจะมีลักษณะของภาพขนาดของภาพ กาหนดกล้องและการแสดงของผู้แสดง หรือ
เหตุการณ์นั้น อย่าง
สมจริงคณะทางาน หรือผู้ผลิตรายการจะยึดการปฏิบัติงานตามบทวีดีทัศน์นี้
แต่ลักษณะที่เป็นจริงบท วีดีทัศน์อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบทบ้าง
ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์นั้น
3. การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ (Preparation)
ในการเตรียมเพื่อการผลิตรายการนั้น
คณะทางานจะเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีส่วนเอื้ออานวยต่อการทางาน เครื่องมือ
อุปกรณ์ ในการถ่ายทา เตรียมสถานที่
เตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้องซึ่งพร้อมที่จะทางานได้ทันทีในกรณีที่ มีการเสริมแต่ง
หรือแก้ไขปัญหาการถ่ายทา เพราะความไม่พร้อมของเรื่องราวเหตุการณ์และสถานที่ยิ่งต้องมีการเตรียมสิ่งต่าง
ๆ เพื่อจาลองสถานการณ์ให้สมจริง เท่าที่จะทาได้ให้ดีที่สุด
4. การบันทึก (Recording)
กระบวนการถ่ายทา จะดาเนินไปตามแผนที่ได้วางไว้ และถ่ายทาตามบท
โดยมุ่งให้ได้ภาพตรงตามความต้องการมากที่สุด อาจจะถ่ายทาหลาย ๆ ครั้ง
ในฉากใดฉากหนึ่ง เพื่อมาคัดเลือกหาภาพที่ดีในตอนจะตัดต่ออีกครั้งหนึ่ง
ในการบันทึกแบ่งเป็น
บันทึกภาพและบันทึกเสียงซึ่งการบันทึกภาพนั้นจะได้ทั้งภาพทั้งเสียงอยู่แล้ว
เมื่อตัดต่อสามารถเลือกได้ว่า ช่วงไหนจะใช้แต่ภาพ หรือใช้ทั้งภาพและเสียง การบันทึกภาพ
บันทึกหรือถ่ายทาตามสภาพความเป็นจริง และความจาเป็นก่อนหลัง ไม่จาเป็นต้องเรียงฉาก
ตามบทวีดีทัศน์ (Script) ในการบันทึกเสียง
จะบันทึกทั้งเสียงเหตุการณ์จริง เสียงสัมภาษณ์ เสียงสนทนา เสียงบรรยาย
เสียงเพลงประกอบ และเสียงเหตุการณ์หรือเสียงที่นามาใช้เป็นเอฟเฟค (Sound Effect) ให้เรื่องราวน่าสนใจซึ่งกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องเสียง
จะมีการผสมเสียงอีกครั้งหนึ่ง ในกระบวนการตัดต่อภาพและเสียง
ข้อสาคัญในการทาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสื่อวีดีทัศน์ในการผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อจุดมุ่งหมายใด
ๆ ก็ตาม คณะทางานควรจะมีความรู้ความเข้าใจในเนื้องาน นโยบายและกิจกรรมขององค์กร
พื้นฐานของงานโทรทัศน์ หรือ การทาวีดีทัศน์ไว้บ้าง เพื่อการสร้างงาน
การคิดสร้างสรรค์ จะได้หลากหลาย น่าสนใจ
และที่สาคัญจะช่วยให้งานดาเนินไปได้อย่างราบรื่น บรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรรู้ ควรเข้าใจมีมากมาย อาทิ อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต เทคนิคกล้อง
ชนิดของภาพ การลาดับภาพและตัดต่อภาพ
การนาเสียงมาใช้ในงานวีดีทัศน์ตลอดจนการใช้กราฟิกคอมพิวเตอร์
ข้อควรจำในการประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อวีดีทัศน์
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า
สื่อวีดีทัศน์ เป็นสื่อที่มีความพร้อมในลักษณะของมัลติมีเดีย (Multimedia) ซึ่งได้รวบรวมเอาความโดดเด่นของรูปแบบ
และแนวทางการนาเสนอที่สมบูรณ์ครบถ้วนไว้ทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ
คอมพิวเตอร์กราฟิก และเทคนิคพิเศษอีกมากมายหน่วยงานหรือองค์กรใด
จะผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์
นอกจากจะเข้าใจถึงคุณสมบัติที่น่าสนใจดังกล่าวแล้ว
ควรพิจารณาถึงประเด็นเรื่องราวต่าง ๆ เช่น
• จะผลิตสื่อวีดีทัศน์
สาหรับกลุ่มเป้าหมายใด การผลิตวีดีทัศน์ ควรเลือกให้เหมาะกับกลุ่มผู้ดูผู้ชม
เพราะเนื้อหาเรื่องราว จะมีความเข้มข้น หรือละเอียดลึกซึ้งแตกต่างกัน
• การผลิตสื่อวีดีทัศน์ต้องการแสดงถึงเนื้อหาสาระมากน้อยแค่ไหน
ประเด็นของเรื่องราวหรือแก่นแท้ (Theme) จะแสดงถึงอะไรบ้าง
• การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์นี้
คาดหวังผลอะไรบ้าง
ถ้าหากรู้ถึงวัตถุประสงค์หรือความคาดหวังถึงผลที่ได้จากสื่อที่ผลิต จะช่วยให้เนื้อหาเรื่องราวในวีดีทัศน์ตรงประเด็นได้มากขึ้น
• ในกระบวนการผลิตวีดีทัศน์ได้มีการประสานงานกับบุคลากรระดับสูงผู้บังคับบัญชา
หรือผู้เกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดเพื่อความเข้าใจในเรื่องราวเพื่อความถูกต้องและการประสานสัมพันธ์ที่ดีในการทางาน
• ผู้ผลิตควรเข้าใจถึงประเด็นในการทาวีดีทัศน์
ถึงความเหมาะสมของเรื่องราวความโดดเด่น หรือความน่าจะเป็นของการเลือกสิ่งที่นาเสนอ
ทั้งบุคลากร สถานที่กิจกรรมหรือเหตุการณ์ตลอดจนข้อมูลต่างๆ
พยายามหามุมมองที่มีคุณค่า
เลือกสิ่งที่น่าสนใจออกมานาเสนอซึ่งบางครั้งอาจมีการเสริมแต่งบ้างก็ควรต้องเลือก
ต้องพยายาม เพื่อให้ได้สื่อวีดีทัศน์ที่น่าสนใจ
• คณะทางานควรเปิดใจกว้าง
ในการวิพากษ์และตรวจทานผลงาน เพื่อจะได้ปรับปรุงและสรรค์สร้างงานให้มีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น